" นั้นลุงดำรึเปล่าครับ " ผมอยู่ที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้ง พยายามติดต่อลุงดำ เจ้าของ
โรงแรม Herb House ตามเบอร์ที่แม่ผมจดไว้ให้
" ฮัลโหล นี่จอห์น แบล็กพูด " ชายวัยกลางคนเสียงแหบพูดขึ้นมาในที่สุด
" ฮัลโหล นี่ผม นิโคลัสนะครับ ลูกชายของป้าจันทร์ สุภัศสิริ " ผมรีบแนะนำตัว ผม
ได้ยินเสียงคนไอดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง
" ..นิโคลัส... นิโคลัส เออ ใช่ๆ ลูกชายของจันทร์ แม่แกสบายดีมั้ย " ลุงเปลี่ยนโทน
การพูดมาเป็นอารมณ์ดี
" แม่สบายดีมากครับ แต่ผมไม่ค่อยสบาย คิือ..ไม่รู้ว่าแม่เล่าอะไรให้ฟังรึยัง คือ ผมมี
ปัญหาเกี่ยวกับหูนะครับ " ผมพยายามอธิบายแบบรวบรัด
" มีปัญหาเกี่ยวกับหู ไปหาหมอหูสิ ลุงช่วยไรไม่ได้หรอก ลุงไม่ใช่หมอ "
" คือ เรื่องมันยาวหน่ะครับ เอาเป็นว่าลุงพอจะมีวิธีแบบชาวบ้านๆที่จะรักษาได้มั้ยครับ
ช่วยบรรเทาก็ยังดี "
" วิธีรักษา..โรคเกี่ยวกับหู...อืมม ให้ลุงนึกก่อน หนุ่มได้ลองวิธีไหนไปบ้างและหล่ะ " ลุง
ถาม ผมนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ลองวิธีไหนเลย
" ก็…ลองกดๆดูหน่ะครับ ใช้นิ้วกด "
" ใช้นิ้วกดหรอ ใช้ทฤษฏีแรงสูญญากาศใช่มั้ย ได้ผลรึเปล่าหล่ะ "
" มันไม่ค่อยได้ผลหน่ะครับ " ผมตอบ
" ลุงรู้และ " อยู่ดีๆลุงพูดขึ้นมาเหมือนได้ไอเดียอะไรบางอย่าง ลุงรู้อะไรวะ
" หนุ่มมีอาการปวดตามตัวด้วยใช่มั้ย "
" ถูกต้องเลยครับ นั้นแหละที่ผมกำลังทรมาณ " ผมเริ่มกลับมามีกำลังใจ
" หนุ่มจดที่อยู่ตามนี้นะ แล้วขับรถมารอ ลุงจะไปนำทางขึ้นมาบนเขาเอง " ลุงพูดเสร็จ
แล้ววางหู ผมหยิบเอาที่อยู่ที่จดไว้ขึ้นมาดูไปพร้อมกับแผนที่ มิราเบลยังนอนหลับสนิทอยู่ในรถ
อย่างไร้กังวล ผมเดินเข้าไปในมินิมาร์ทเพื่อซื้อโค๊กกับสไปรท์และก็ขนมขบเคี้ยวหนึ่งห่อ เติม
น้ำมันเต็มถังแล้วขับรถออกไป
ช่วงก่อนที่หูของผมจะเกิดอาการผิดปกติ ผมรับจ้างเล่นดนตรีแจ๊สตามผับและบาร์ใน
แถบตัวเมืองซีแอตเทิลและบริเวณใกล้เคียง ก่อนหน้าที่ผมจะออกมาเล่นโซโล่ ผมเคยมีวงทรีโอ
ที่เล่นกันกับเพื่อนที่บังเอิญไปเจอกันในผับสมัยที่ผมไปเล่นเปิดไมค์ จอร์เเดนที่เป็นมือกลองคือ
คนแรกที่มาร่วมวง ทุกๆวันจันทร์ถึงพฤหัสตอนเย็น ผมจะขับรถไปที่บ้านของเขาและแจมกันที่
นั้น พวกเราเริ่มด้วยการเล่นแจ๊สที่ออกไปทางป็อปและคัพเวอร์เพลงคลาสสิกอย่าง Autumn
นั้น พวกเราเริ่มด้วยการเล่นแจ๊สที่ออกไปทางป็อปและคัพเวอร์เพลงคลาสสิกอย่าง Autumn
Leaves ไปจนถึง Smoke Gets In Your Eyes พวกเราเริ่มเล่นดูโอโดยการคัพเวอร์เพลง
คลาสสิกๆที่ผมพอจะเล่นได้ ตอนหลังจอร์แดนชวน อดัม ที่เล่นเปียโนมาร่วมวง ตอนนั้นผม
ตัดสินใจ ที่จะแต่งเพลงเองและเปลี่ยนแนวมาเล่น โมเดิล แจ๊ส ตลอดเวลาเกือบ2ปีที่ร่วมวงกัน
พวกเรากึ่งจริงจังและกึ่งเล่น อดัมเป็นคนที่เหมือนจะไม่มีจุดมุ่งหมายแน่นอน เขาแค่อยากเล่น
ดนตรีเพื่อที่จะหนีงานประจำและใช้ชีวิตไปวันๆ ส่วนจอร์แดนเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแฟน
ของเขาและการเที่ยวกลางคืน นานๆเข้าผมค้นพบตัวเอง ว่าผมเหมาะมากกว่าที่จะเล่น
โซโล่ ผมไม่ต้องมีขีดกำจัดใดๆทั้งสิ้น ผมสามารถทำอะไรก็ได้ เล่นแบบไหนก็ได้ตามใจปรารถ
ณา แต่ผมเองอาจจะไม่รู้ตัว หรือ รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ ว่าสาเหตุนึงที่ทำให้เราต้องแยกวง อาจจะ
เป็นเพราะการเล่นกีตาร์ของผมเอง บางครั้งผมอาจจะทำเป็นมองโลกในแง่ดี แต่ในความเป็น
จริง ฝีมือของผมมันธรรมดาเสียเหลือเกินและไม่มีอะไรพิเศษเหมือนคนอื่นๆเขา ผมรู้สึกตั้งแต่
สมัยแรกๆที่ผมเริ่มฝึกหัดเล่นกีตาร์ ผมไม่เคยเล่นได้ดีเลย ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีพรสรรค์ นิ้วของ
ผมมันแข็งเกินไป มือทั้งสองข้างของผมมันก็ไม่มีความเที่ยงตรงเอาซะเลย ถึงผมจะเป็นคนมี
สมาธิในระดับที่ใช้ได้ แต่ผมไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ผมรู้สึกว่าพอผมทำสิ่งนึงได้ดี
ผมจะรู้สึกเบื่อและเปลี่ยนไปหาอะไรใหม่ทำ ผมทำได้ทุกอย่างแต่ไม่ได้ดีเลยซักอย่าง นั้นอาจจะ
เป็นสาเหตุหลักที่ผมแยกตัวออกมาเล่นคนเดียว เพราะถ้าผมเล่นคนเดียว ทำคนเดียว แล้วถ้า
เกิดสิ่งที่ผมทำมันไม่ประสบความสำเร็จ ผมจะได้ไม่มีข้อแม้หรือข้ออ้างใดๆ และจะได้ไม่ต้อง
โทษใครทั้งนั้น นอกจากโทษตัวผมเอง
ลุงดำมาถึงก่อนผมและจอดรถกระบะสีขาวรอ ถึงสีรถจะเป็นสีขาวแต่บริเวณเกือบทั่วทั้ง
คันเปื้อนไปด้วยโคลนและทรายจนมองไกลๆเห็นเป็นสีเทา ลุงใส่ชุดจัมเปอร์ยีนส์สีน้ำเงินทับ
เสื้อยืดสีขาว ที่บนศรีษะแกสวมหมวกแก็ปโลโกอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้จัก ผมยาวหยิกสีขาว
ของแกแซมออกมาจากด้านข้างและด้านหลังของหมวก แกมีแววตาของคนที่ใจดีแต่มีใบหน้า
ของคนที่สุขุมรอบคอบ ผิวคล้ำที่เป็นมันของแกเผยให้เห็นถึงการทำงานตากแดดอย่างต่อเนื่อง
เป็นเวลานาน รองเท้าบูทที่แกใส่อยู่สภาพเหมือนมันเป็นคู่เดียวที่แกมี ลุงเดินมาหาผมที่ยืนอยู่
กับมิราเบลที่ยังซะลึมซะลือ ผมเดินไปจับมือแล้วแนะนำตัว ผมอธิบายคร่าวๆถึงเหตุผลที่ผม
ต้องมาหาลุง ลุงตั้งใจฟังที่ผมพูด ยิ้มและพยักหน้าเป็นระยะๆ พอผมพูดจบ ลุงเอามือลูบหัวมิรา
เบลแล้วเสนอจะเลี้ยงไอศครีม เธอรีบตอบตกลงในทันที ตัวผมรีบตอบปฎิเสธแต่ไม่ลืมที่จะ
ขอบคุณทิ้งท้าย เส้นทางที่ผมขับตามลุงเกือบจะเหมือนกับการขับรถวิบาก ด้วยความที่รถคันนี้
เป็นรถย้อนยุคซะเหลือเกินบวกกับการที่ผมมีกีตาร์ตัวโปรดใส่ไว้ในกระโปรงด้านหลัง ผมไม่
สามารถขับเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปได้ มิราเบลทำท่าเหมือนจะอ้วก ผมทั้งปวดหู ปวดหัวและ
พะอืดพะอม ผมรู้สึกได้ว่าลุงดำพยายามไม่ขับเร็วเกินไป เพื่อที่ผมจะได้ตามแกทัน พอมาถึงที่ๆ
คาดว่าน่าจะเป็นโรงแรม ภาพที่ผมเห็นกลับเป็นบ้านไม้สองหลังติดกัน หลังที่อยู่ทางด้านซ้ายมี
ขนาดเล็กแต่มีทรงสีเหลื่ยมผืนผ้าตั้งขึ้น ลักษณะของมันเหมือนกับกระท่อมมากกว่าที่จะเป็น
บ้าน ส่วนหลังที่อยู่ทางขวาเป็นลักษณะของที่ทำการอะไรซักอย่างที่ทำมาจากไม้ทั้งหลัง ตัว
บ้านมีขนาดใหญ่ประมาณสองเท่าของหลังทางซ้ายแต่ลักษณะของมันเหมือนกับสี่เหลี่ยมผืนผ้า
นอนลง พอจอดรถได้ที่ ลุงเปิดประตูรถลงมาเพื่อเชิญให้ผมเข้าไปในบ้านที่อยู่ทางขวา พอก้าว
เท้าเข้ามาในบ้าน ผมนั้งลงตรงที่คาดว่าเป็นที่นั้งรอทำจากไม้เนื้อแข็ง ด้านหน้าของผมเป็นเคา
ร์เตอร์ขนาดใหญ่ที่เหมือนกับในลอปปี้ของโรงแรม ซักพักเด็กผู้หญิงผมบลอนเดินออกมาจาก
ทางด้านหลัง เธอยิ้มแล้วเปิดสมุดหาอะไรบางอย่าง
" คุณ นิโคลัส สุ-ภั..ศ.สิ… " เธอคนนั้นพยายามจะอ่าน
" สุภัศสิริครับ " ผมรีบยกมือ ตาของเธอจ้องมาที่ผมชั่วขณะ ในเวลาเดียวกัน ลุงดำเดิน
ออกมาจากด้านหลังเคาร์เตอร์
" เคลซี่ นี่นิโคลัส ลูกชายของเพื่อนลุง ส่วนเด็กผู้หญิงที่เห็นเดินเข้ามาแว่ปๆนั้น ชื่อ มิ
ราเบล " ลุงแนะนำตัวพร้อมกับพยายามมองหามิราเบล แต่เธอเดินหายไปทางฝั่งขวา " นิค นี่
ราเบล " ลุงแนะนำตัวพร้อมกับพยายามมองหามิราเบล แต่เธอเดินหายไปทางฝั่งขวา " นิค นี่
เคลซี่ ลูกสาวของบิวที่เป็นหุ้นส่วนของลุงเอง พวกเธอน่าจะรุ่นๆเดียวกัน "
" ยินดีที่ได้รู้จัก " ผมยื่นมือไปจับมือของเธอ เธอทำเช่นเดียวกัน
" หูเป็นยังไงบ้าง " ลุงถามขึ้นมา
" ตอนนี้ผมได้ยินแค่ข้างเดียว " ผมสารภาพพร้อมกับยิ้มนิดๆ
" อืมม ลุงพอมีหลายวิธีอยู่นะ ที่คิดว่าน่าจะพอช่วยได้ แต่ลุงยังมีอีกเรื่องนึงที่ต้องบอก
ก่อน หนุ่มต้องทำงานแลกกับค่ากินค่าอยู่ ทำได้รึเปล่า "
" ถึงผมไม่ค่อยมีฝีมืออะไร แต่ผมจะทำเต็มที่ ผมจะไม่กลับไปจนกว่าจะหาย "
ผมตอบแบบมั่นใจ
" งานง่ายมากเลย ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็ทำได้ " เคลซี่พูด ผมหันไปมอง แววตาของเธอ
เต็มไปด้วยความเป็นมิตร
" ขอบคุณมาก " ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอบ
" สิ่งต่างๆที่จะต้องทำ ลุงจะให้เคลซี่สอนเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เช้า วันนี้เย็นแล้ว ลุงว่าเราไป
ทำอาหารเย็นกินกัน " ลุงดำพูดเสร็จแล้วเดินหายไปหลังเคาร์เตอร์ ซักพักเคลซี่ก็เดินตาม
เข้าไปด้านหลัง ผมที่อยู่คนเดียว เดินสังเกตุไปรอบๆตัวบ้าน ตามพนังห้องและที่ต่างๆ แถบจะ
ไม่มีของประดับตกแต่งเลย ที่เห็นชัดๆก็น่าจะเป็นผ้าม่านตรงหน้าต่างรอบด้านที่ทำเป็นลาย
เหมือนผ้ามัดย้อม เก้าอี้ยาวที่ทำจากไม้ที่เอาไว้สำหรับรับแขก ถูกปูด้วยผ้าถักไหมพรมสีเขียว
ขี้ม้าสลับกับสีน้ำตาลและสีเหลืองอ่อน ข้างๆเก้าอี้เป็นราวเกี่ยวเสื้อโค๊ทที่ทำจากไม้ ด้านล่างมี
ไม้ทรงกระบอกขนาดปานกลางที่ทำเอาไว้เป็นที่เสียบร่ม ทางฝั่งขวาเป็นทางเดินทอดยาว เมื่อ
เดินเลยผ่านบันไดขึ้นชั้นสองไปจนสุดทางจะไปเจอกับห้องน้ำขนาดเล็กอยู่ทางซ้ายมือ ทันทีที่
เดินเข้าไปด้านในจะพบกับห้องน้ำที่มีกลิ่นของสมุนไพรจางๆ ตามพื้นและพนังถูกฉาบด้วย
ปูนซีเมนต์สีอ่อน อ่างล้างหน้าที่ตั้งเด่นอยู่ด้านข้างทำมาจากหินก้อนใหญ่ที่ผ่านการขัดเกลาและ
เจียรไนมาอย่างดี เครื่องสุขภัณฑ์แลดูเหมือนของนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ถึงวัสดุและ
อุปกรณ์ต่างๆจะดูหรูหรา ผมกลับรู้สึกได้ถึงความเรียบง่ายและความพอดีของสิ่งต่างๆ ทุก
อย่างมันดูลงตัว ทันสมัยและเป็นกันเอง ตัดสินใจที่จะหามิราเบลให้เจอ ผมถือวิสาสะเดินขึ้น
บันไดวนที่เมื่อกี้เดินผ่านมาขึ้นไปจนถึงชั้นสอง ทันทีที่เดินมาถึงด้านบนผมเจอกับทางสามแยก
ที่เรียงรายไปด้วยห้องพัก ผู้ชายผิวขาวตัวใหญ่เปิดประตูออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ชาย
หนุ่ยวัยรุ่นที่เดินออกมาด้วยกันสังเกตุเห็นผมแล้วพยักหน้าทักทาย ผมรีบพยักหน้าตอบแล้ว
เดินเลี้ยวไปทางซ้าย ที่ตรงสุดทางเดิน ผมเห็นมิราเบลกำลังง่วนอยู่กับการแขย่งขามองออก
ไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผม เธอหยิบตุ๊กตาแมวที่ตั้งอยู่บนขอบหน้าต่าง
เก็บเข้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งมาหา
" พี่นิคๆ วิวสวยมากเลย ดูสิๆ " มิราเบลรีบพูดพร้อมกับชี้ไปที่หน้าต่าง
" ถ้าเธอจะเดินไปไหนไกลๆ ให้บอกกันบ้างได้มั้ย " ผมพูดแล้วเดินไปที่หน้าต่างกับเธอ
อีกครั้ง
" แต่วิวมันสวยมากเลย ดูซิ " มิราเบลย้ำ ผมพยายามมองออกไปนอกหน้าต่างแต่ต้นไม้
ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆบังวิวเอาไว้จนเกือบหมด
" อยู่กันตรงนี้เอง " เสียงเด็กผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง พอผมหันกลับไปดู เคลซี่เปลี่ยน
การแต่งตัวจากชุดเสื้อเชิตสีขาวมาเป็นเสื้อยืดแขนกุดสีขาว เธอมัดผมรวบเอาไว้ด้านหลังและ
ใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดงลายโลโก้ของโรงแรม เธอนำทางผมกับมิราเบลเดินลงบันไดวนที่เมื้อกี้เดิน
ขึ้นมา แต่พอมาถึงด้านล่าง แทนที่ที่จะเดินไปทางล็อบบี้ เธอเดินตรงไปออกทางประตูที่อยู่ด้าน
หลัง เปิดออกมาสู่ลานกว้างขนาดใหญ่ที่วิวทิศทัศน์ด้านหน้าเต็มไปด้วยป่าไม้สน ผู้ชายสองคน
ที่เมื่อกี้เดินสวนกับผม ออกมานั้งสนทนาอะไรซักอย่างกันอย่างสนุกสนานตรงเก้าไม้ที่ทำจาก
ท่อนซุง เคลซี่พาเดินเลี้ยวมาทางซ้ายผ่านประตูรั่วเล็กๆ ตรงลานกว้างด้านขวา ผมเห็นแปลง
ผักและผลไม้ปลูกเรียงกันยาวออกไป เธอพาเดินมาจนถึงประตูด้านข้างของบ้านกระท่อมที่
ผมเห็นตอนขามา ทันทีที่เปิดประตู ชายผิวขาววัยกลางคนกำลังทำอาหารอยู่อย่างขมักเขม้น
ผักและผลไม้ปลูกเรียงกันยาวออกไป เธอพาเดินมาจนถึงประตูด้านข้างของบ้านกระท่อมที่
ผมเห็นตอนขามา ทันทีที่เปิดประตู ชายผิวขาววัยกลางคนกำลังทำอาหารอยู่อย่างขมักเขม้น
" บิว นี่นิคและมิราเบล " เคลซี่ทักชายคนนั้นที่กำลังชิมซุปในหม้อ
" สวัสดีเด็กน้อยทั้งหลาย หิวรึยัง " ชายคนนั้นมองมาที่ผมกับมิราเบลพร้อมกับคนซุป
ในหม้อไปด้วย
" นี่พ่อของฉันเอง บิว ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยให้แต่แกชอบทำอาหารมาก " เคลซี่อธิบาย
ผมยิ้มนิดๆแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
" พ่อดูยุ่งๆ พวกเราจะไปรอที่ด้านบนนะ " เคลซี่บอกบิวที่กำลังใจจดใจจ่อกับเส้นพาส
ต้า แล้วเดินอ้อมมาทางด้านหลังผ่านห้องรับแขกขึ้นไปจนถึงด้านบน
" นี่ห้องชั้นส่วนห้องถัดมาก็คือห้องของพ่อ แต่ที่เราจะไปกินกันคือตรงนี้ " เคลซี่พาเดิน
ผ่านทางเดินขนาดเล็กที่อยู่บนชั้นสองออกไปยังเฉลียงขนาดย่อมๆที่อยู่นอกตัวบ้าน ลุงดำ
กำลังง่วนอยู่กับการปิ้งปลาบนเตาบาร์บีคิว
" ทำตัวให้เหมือนกับบ้านของตัวเอง นั้นคือกฏข้อแรกของคนที่จะมาพักที่นี้ " ลุงดำพูด
ขึ้นมาลอยๆ " ถ้าเกิดจะให้โรคอะไรก็แล้วแต่หาย สิ่งแรกและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาหารที่เรา
กิน ปลาบูวล์เทราย่างเกลือกับกระเทียมพริกไทยนี่แหละ จะทำให้หนุ่มหายจากโรคได้ในเร็ว
วัน "
วัน "
" ตอนแรกผมนึกว่าลุงคือนักสมุนไพร แต่ผมว่าลุงเหมาะมากกว่าที่จะเป็นเซฟทำ
อาหาร " ผมนั้งลงตรงเก้าอี้ มิราเบลเดินไปดูลุงดำใกล้ๆ
อาหาร " ผมนั้งลงตรงเก้าอี้ มิราเบลเดินไปดูลุงดำใกล้ๆ
" แม่หนุ่มไม่ได้บอกหรอ ว่าจริงๆแล้วลุงไม่ใช่นักสมุนไพรหรือหมอยาอะไรทั้งนั้น ลุง
ชอบมากกว่าที่จะคิดว่าตัวลุงเป็นนักธรรมชาตินิยม สมุนไพรเป็นแค่เรื่องนึงที่ลุงสนใจแต่จริงๆ
แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกมากมาย " ลุงพูด ผมนั้งมองเคลซี่กำลังจัดโต๊ะอาหาร ด้วยความเคยชิน
ผมเอานิ้วไปแหย่ที่หูด้านซ้ายของผมอีกครั้ง ผมกดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจนผมเจ็บทั้งนิ้วและหู
ถอดใจ ผมเดินไปตรงระเบียงเพื่อฟังเสียงจั๊กจั่น ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีจากสีเหลืองทองมาเป็น
สีน้ำเงินเข้ม สักพักบิวค่อยๆลำเลียงอาหารที่ทำเมื่อกี้ขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะ ทุกๆคนดูเหมือนว่า
กำลังยุ่งอยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ แม้แต่มิราเบลก็ยุ่งอยู่กับการยืนดูลุงดำปิ้งปลา ทำไมจั๊กจั่น
วันนี้ ส่งเสียงร้องเบาเหลือเกิน
ผมเอานิ้วไปแหย่ที่หูด้านซ้ายของผมอีกครั้ง ผมกดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจนผมเจ็บทั้งนิ้วและหู
ถอดใจ ผมเดินไปตรงระเบียงเพื่อฟังเสียงจั๊กจั่น ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีจากสีเหลืองทองมาเป็น
สีน้ำเงินเข้ม สักพักบิวค่อยๆลำเลียงอาหารที่ทำเมื่อกี้ขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะ ทุกๆคนดูเหมือนว่า
กำลังยุ่งอยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ แม้แต่มิราเบลก็ยุ่งอยู่กับการยืนดูลุงดำปิ้งปลา ทำไมจั๊กจั่น
วันนี้ ส่งเสียงร้องเบาเหลือเกิน