ทันทีที่ลืมตาตื่น ผมเกิดอาการหูอื้อทางด้านซ้ายอย่างเกือบสนิท ในทางกลับกัน หูขวา
ของผมกลับได้ยินชัดเจนดี เหลือบตาไปดูนาฬิกาบอกเวลา 7:28 AM ตัดสินใจที่จะนอนต่อ
แต่ทันทีที่หลับตา ผมเกิดอาการปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก อีกตามเคย ที่หลังของผมก็เกิดอาการ
ปวดแปล็บๆเป็นระยะๆ พยายามบังคับร่างกายตัวเอง ผมพยุงตัวลุกขึ้นมานั้งบนเตียงแล้ว
เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ทันทีที่เหลือบไปเห็นขวดแอสไพริน ผมเอื้อมมือไปหยิบขวด
ยาขึ้นมา จ้องมองที่ฉลากข้างขวด แล้ววางมันลงที่เดิม ทันทีที่รวบรวมสติได้ ผมลุกขึ้นเดินไปที่
อ่างล้างหน้า เปิดน้ำ แล้วดูหน้าตัวเองในกระจก หลังจากที่แปรงฟันเสร็จ ผมตัดสินใจที่จะโกน
หนวดที่ไว้มาหนึ่งเดือนกว่า หลังเสร็จจากการอาบน้ำและแต่งตัว ผมเดินไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้า
ทรงฮอลโลวบอดี้ที่ตั้งพิงอยู่บนพนังขึ้นมานั้งเล่น ทดสอบดูว่าเสียงยังดี ผมเก็บมันเข้าไปใน
ซองใส่กีตาร์ เดินไปหยิบเอาเคโป สายเคเบิล ที่ตั้งสาย สายสำรอง ผ้าเช็ดหน้า น้ำยาขัด ปิ๊ก
แล้วยัดมันใส่ลงไปในช่องเก็บที่อยู่ตรงด้านหน้าของซอง เดินไปตรงเป้ที่อยู่ใต้เตียง หยิบเอา
สมุดโน๊ตกับปากกาหมึกซึมใส่เข้าไปในกระเป๋า เดินไปตรงตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกางเกงในกับเสื้อ
เชิทสีขาวใส่ลงไป ลังเลใจ ผมเดินไปเลือกเอาหนังสือจากชั้นมา 2 เล่มแล้วใส่ลงไปในกระเป๋า
เห็นว่าเหลือที่ ผมปิดท้ายด้วยการใส่ขวดวอดก้าที่เหลือจากเมื่อคืนลงไป ไม่มีอะไรค้างคาใจ
ผมเดินออกจากห้องพร้อมกับล็อคประตู ทันทีที่เดินลงมา มิสเตอร์คิม เจ้าของอพาทเมนต์ทัก
ผมว่าจะรีบไปไหนแต่เช้า ผมบอกแกว่าต้องกลับไปบ้านซักพักนึง แต่ผมจะกลับมาในไม่เกิน
หนึ่งอาทิตย์ มิสเตอร์คิมฟังแบบคร่าวๆแล้วอวยพรให้ผมโชคดี ระหว่างที่รอรถเมล์ ผมตัดสิน
ใจเดินอ้อมไปที่ร้านขายขนมปังที่อยู่ตรงหัวมุมที่อยู่ถัดมา2บล๊อค ผมสั่งที่ผมสั่งกินเป็นประจำ
ขนมปังแซนวิชใส่ไข่ที่แสนจะธรรมดา แต่เพราะเจ้าของร้านเป็นเซฟที่ใช้ของคุณภาพดี ขนมปัง
ที่อบใหม่ๆออกมา มีความนุ่มและอร่อยกว่าที่อื่นมาก นอกเหนือจากนั้น ผมสั่งกาแฟอเมริคาโน
แก้วเล็ก เติมน้ำตาลสองถุง คนให้เข้าที่ หยิบเอากระดาษทิชชู่หนึ่งกำใส่ลงไปในเป้ ผม
ขอบคุณเจ้าของร้านแล้วเดินกลับออกมา ทันทีที่มาถึงป้ายรถเมล์ ผมนั้งลงตรงเก้าอี้ยาว เช็ค
เวลาว่ายังเหลือ ผมนั้งกินขนมปังกับกาแฟรอ
ของผมกลับได้ยินชัดเจนดี เหลือบตาไปดูนาฬิกาบอกเวลา 7:28 AM ตัดสินใจที่จะนอนต่อ
แต่ทันทีที่หลับตา ผมเกิดอาการปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก อีกตามเคย ที่หลังของผมก็เกิดอาการ
ปวดแปล็บๆเป็นระยะๆ พยายามบังคับร่างกายตัวเอง ผมพยุงตัวลุกขึ้นมานั้งบนเตียงแล้ว
เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ทันทีที่เหลือบไปเห็นขวดแอสไพริน ผมเอื้อมมือไปหยิบขวด
ยาขึ้นมา จ้องมองที่ฉลากข้างขวด แล้ววางมันลงที่เดิม ทันทีที่รวบรวมสติได้ ผมลุกขึ้นเดินไปที่
อ่างล้างหน้า เปิดน้ำ แล้วดูหน้าตัวเองในกระจก หลังจากที่แปรงฟันเสร็จ ผมตัดสินใจที่จะโกน
หนวดที่ไว้มาหนึ่งเดือนกว่า หลังเสร็จจากการอาบน้ำและแต่งตัว ผมเดินไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้า
ทรงฮอลโลวบอดี้ที่ตั้งพิงอยู่บนพนังขึ้นมานั้งเล่น ทดสอบดูว่าเสียงยังดี ผมเก็บมันเข้าไปใน
ซองใส่กีตาร์ เดินไปหยิบเอาเคโป สายเคเบิล ที่ตั้งสาย สายสำรอง ผ้าเช็ดหน้า น้ำยาขัด ปิ๊ก
แล้วยัดมันใส่ลงไปในช่องเก็บที่อยู่ตรงด้านหน้าของซอง เดินไปตรงเป้ที่อยู่ใต้เตียง หยิบเอา
สมุดโน๊ตกับปากกาหมึกซึมใส่เข้าไปในกระเป๋า เดินไปตรงตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกางเกงในกับเสื้อ
เชิทสีขาวใส่ลงไป ลังเลใจ ผมเดินไปเลือกเอาหนังสือจากชั้นมา 2 เล่มแล้วใส่ลงไปในกระเป๋า
เห็นว่าเหลือที่ ผมปิดท้ายด้วยการใส่ขวดวอดก้าที่เหลือจากเมื่อคืนลงไป ไม่มีอะไรค้างคาใจ
ผมเดินออกจากห้องพร้อมกับล็อคประตู ทันทีที่เดินลงมา มิสเตอร์คิม เจ้าของอพาทเมนต์ทัก
ผมว่าจะรีบไปไหนแต่เช้า ผมบอกแกว่าต้องกลับไปบ้านซักพักนึง แต่ผมจะกลับมาในไม่เกิน
หนึ่งอาทิตย์ มิสเตอร์คิมฟังแบบคร่าวๆแล้วอวยพรให้ผมโชคดี ระหว่างที่รอรถเมล์ ผมตัดสิน
ใจเดินอ้อมไปที่ร้านขายขนมปังที่อยู่ตรงหัวมุมที่อยู่ถัดมา2บล๊อค ผมสั่งที่ผมสั่งกินเป็นประจำ
ขนมปังแซนวิชใส่ไข่ที่แสนจะธรรมดา แต่เพราะเจ้าของร้านเป็นเซฟที่ใช้ของคุณภาพดี ขนมปัง
ที่อบใหม่ๆออกมา มีความนุ่มและอร่อยกว่าที่อื่นมาก นอกเหนือจากนั้น ผมสั่งกาแฟอเมริคาโน
แก้วเล็ก เติมน้ำตาลสองถุง คนให้เข้าที่ หยิบเอากระดาษทิชชู่หนึ่งกำใส่ลงไปในเป้ ผม
ขอบคุณเจ้าของร้านแล้วเดินกลับออกมา ทันทีที่มาถึงป้ายรถเมล์ ผมนั้งลงตรงเก้าอี้ยาว เช็ค
เวลาว่ายังเหลือ ผมนั้งกินขนมปังกับกาแฟรอ
หน้าร้อนที่ซีแอตเทิลคือสวรรค์ของคนที่อยู่ที่นี่ สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาจากการที่อยู่จน
เคยชินก็คือ คุณไม่สามารถทำอะไรสำเร็จลุล่วงได้เลยในซีแอตเทิล หากแต่คุณหวังจะรอทำมัน
ในวันที่ฟ้าเป็นใจ ใจเดียวที่ท้องฟ้าของซีแอตเทิลจะเป็น ก็คือใจที่โลเล ตอนเช้าตรู่ที่ตื่นนอนมา
กับสายฝนพรำ ตอนบ่ายอยู่ดีๆก็กลายเป็นบ่ายที่สดใส เจิดจ้าไปด้วยแสงอาทิตย์ และตอนเย็น
ก็กลับมาฝนตกอีกครั้ง หนึ่งอาทิตย์ที่แดดออกสลับกับฝนตกแบบวันเว้นวัน ผมก็เคยเห็นมา
แล้ว พอรถเมล์มาถึง ผมขึ้นไปนั้งที่เบาะติดหน้าต่างที่อยู่ด้านหลัง บ้านของ(แม่)ผมอยู่ทางตอน
ตะวันออกของซีแอตเทิลเรียกว่า เมอร์เซอร์ ไอแลน การเดินทางจากในตัวเมืองที่ผมอยู่ ถ้าขึ้น
รถด่วนสาย550ที่ตรงไชน่าทาวน์ โดยประมาณน่าจะใช้เวลา20นาที ไม่รวมการเดินจากป้าย
รถเมล์ไปถึงที่บ้านอีกต่อนึง ตอนนี้ที่ผมจะต้องทำ คือขึ้นรถจากที่ผมอยู่ไปประมาณ5-6ป้ายไป
ให้ถึงไชน่าทาวน์ แล้วก็ค่อยรอขึ้นรถด่วนสาย550 ไปเมอร์เซอร์ ไอแลน
พอรู้สึกตัวอีกที รถเมล์กำลังวิ่งอยู่บนสะพานข้ามทะเลสาปวอชิงตัน ผมมองผ่าน
หน้าต่างไปที่แสงส่องลงมาบนผิวน้ำแล้วมองไปที่ท้องฟ้าด้านบน โดยอัตโนมัติ ผมเอานิ้ว
เข้าไปอุดรูที่หูด้านซ้าย หวังว่าจะใช้แรงกดทำให้หูหายอื้อ แต่ยิ่งผมกดแรงเท่าไหร่ หูมันก็ยิ่ง
อื้อมากขึ้น ตอนนี้หูด้านซ้ายของผมแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย ถ้าเกิดมีคนมากระซิบที่ข้างๆหู
ผมสงสัยว่าผมจะรู้ตัวรึเปล่า ตอนประมาณเกือบ11โมง รถเมล์ปล่อยผมลงตรงป้ายที่ใกล้
บ้านผมที่สุด พอลงจากรถ ผมหันไปมองรอบๆกาย จากนี้ไปต่อให้ผมหลับตาเดิน ผมก็ไม่
หลง ผมเกิดและก็โตมาในบริเวณนี้ จากป้ายนี้กลับไปบ้าน น่าจะใช้ระยะทางประมาณ 184
ก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านพอดี หรือว่า 164 ก้าว ? หรือว่าจะเป็น 186 ก้าว ? ผมเริ่ม
ลังเล ตอนเด็กๆผมเคยเดินนับก้าวมาแล้วจนชำนาญ แต่แน่นอน ตอนนี้ผมขายาวกว่าเดิม
" มาแล้ว มาแล้ว " ครั้งที่สองที่ผมกดกริ่ง เสียงเด็กผู้หญิงรีบตะโกนออกมาจากภายใน
บ้าน ผมหันไปมองที่แปลงดอกไม้ที่อยู่ทางฝั่งขวาแล้วหันไปมองรอบๆตัวบ้าน กลิ่นของไม้ตาก
แดดกับกลิ่นของดอกไม้ในแปลงทำให้ผมรู้สึกหวนคำนึงถึงอดีต ผมเอานิ้วแหย่ที่หูซ้ายของผม
อีกครั้ง คราวนี้หูของผมกลับมาอยู่ในสภาพปกติ
" ยินดีต้อนรับกลับบ้าน " เด็กผู้หญิงในเสื้อยืดกางเกงยีนส์เปิดประตูออกมาต้อนรับผม
เธอยิ้มแล้วเอาขาไขว่พร้อมกับทำท่าทางเขินอาย
เธอยิ้มแล้วเอาขาไขว่พร้อมกับทำท่าทางเขินอาย
" มิร่า ให้พี่นิคเข้ามาแล้วรีบมากินข้าวต่อให้หมด ก่อนที่จะไปเล่น " แม่ผมตะโกนออก
มาจากห้องครัว เด็กผู้หญิงคนนั้นกวักมือไหวๆให้ผมรีบเข้ามาแล้วปิดประตูวิ่งกลับไปนั้งที่โต๊ะ
กินข้าว ผมถอดรองเท้าไว้ที่ประตูหน้าบ้าน แล้วเดินไปตรงห้องครัว แม่ผมกำลังต้มซุปอะไร
ซักอย่างในหม้อ ผมเดินเอากีตาร์กับกระเป๋าวางบนโซฟา แล้วเดินมานั้งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเด็ก
ผู้หญิงคนนั้น
มาจากห้องครัว เด็กผู้หญิงคนนั้นกวักมือไหวๆให้ผมรีบเข้ามาแล้วปิดประตูวิ่งกลับไปนั้งที่โต๊ะ
กินข้าว ผมถอดรองเท้าไว้ที่ประตูหน้าบ้าน แล้วเดินไปตรงห้องครัว แม่ผมกำลังต้มซุปอะไร
ซักอย่างในหม้อ ผมเดินเอากีตาร์กับกระเป๋าวางบนโซฟา แล้วเดินมานั้งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเด็ก
ผู้หญิงคนนั้น
" แกคงจะสงสัย โทรมากระทันหันแม่เลยไม่ทันได้บอก นี่ มิราเบล ลูกสาวของพอล "
แม่เอาซุปกระดูกหมูตักใส่ถ้วยเล็กๆแล้วเอามาวางตรงหน้าผม " นี่ ข้าวสวยเผื่ออยากลองกลับ
มากินแบบเดิมๆดู " แม่วางชามใส่ข้าวไว้ข้างๆซุป
แม่เอาซุปกระดูกหมูตักใส่ถ้วยเล็กๆแล้วเอามาวางตรงหน้าผม " นี่ ข้าวสวยเผื่ออยากลองกลับ
มากินแบบเดิมๆดู " แม่วางชามใส่ข้าวไว้ข้างๆซุป
" ไม่รู้ว่าแม่แต่งงานใหม่ " ผมพูด พร้อมกับตักซุปผสมกับข้าวกิน
" 2ปีก่อน แต่ความผิดใครหล่ะที่หนีออกไปแบบไม่บอกอะไรเลย " แม่ยกแก้วน้ำมาตั้ง
ให้ผม เสร็จแล้วหันไปชี้ที่ผักที่มิราเบลเขี่ยไว้ข้างๆชาม มิราเบลขมวดคิ้ว
ให้ผม เสร็จแล้วหันไปชี้ที่ผักที่มิราเบลเขี่ยไว้ข้างๆชาม มิราเบลขมวดคิ้ว
" เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก... ว่าแต่แม่โทรไปหาลุงดำมาแล้ว เขาบอกว่าถ้าลูกไปแล้ว
ช่วยงานเขา เขาจะให้อยู่ไปจนกว่าแกจะหาย " แม่ยกกับข้าวอีกอย่างมาตั้งไว้บนโต๊ะ เป็นปลา
ทอด
ช่วยงานเขา เขาจะให้อยู่ไปจนกว่าแกจะหาย " แม่ยกกับข้าวอีกอย่างมาตั้งไว้บนโต๊ะ เป็นปลา
ทอด
" แล้วถ้าไม่หาย.. "
" มันต้องหายสิ ถ้าแกมัวแต่มองโลกในแง่ร้ายแล้วมันก็ไม่มีทางหายหรอก "
" แล้วไปได้เมื่อไหร่ " ผมเอื้อมมือไปตักปลาทอด
" พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้ แต่.. " แม่พูดพร้อมกับจ้องมาที่ผม " แม่มีข้อแม้อยู่หนึ่งอย่าง
แกต้องพามิราเบลไปด้วย "
แกต้องพามิราเบลไปด้วย "
" หา! นี่ผมไม่ได้ไปพักร้อนนะแม่ " ผมตกใจ
" แกไม่ได้ไป แต่แม่อยากให้มิราเบลไปพักร้อน อีกอย่าง แม่อยากให้ทั้งสองคน
ทำความรู้จักกันไว้ นี่เป็นข้อแม้ ถ้าแกยังอยากจะไปอยู่ " แม่ยืนยันเด็ดขาด ผมหันไปมองที่มิ
ราเบลยิ้มเห็นฟัน
ทำความรู้จักกันไว้ นี่เป็นข้อแม้ ถ้าแกยังอยากจะไปอยู่ " แม่ยืนยันเด็ดขาด ผมหันไปมองที่มิ
ราเบลยิ้มเห็นฟัน
" เดินทางพรุ่งนี้เช้าละกัน วันนี้กินข้าวแล้วพักผ่อน " แม่พูดปิดท้ายแล้วตั้งใจกินข้าวต่อ
รุ่งเช้า มิราเบลเดินมาปลุกผมที่นอนอยู่บนโซฟาในห้องนั้งเล่น วันนี้เธอผูกผมเป็นผม
แกะสองข้าง ชุดที่เธอใส่เป็นเสื้อยืดธรรมดาสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีครีม ที่หลังของเธอสะพาย
กระเป๋าขนาดเล็ก ผมหันมองไปรอบๆห้อง ไม่เห็นวีแววของแม่ รถที่แม่ผมให้ยืม เป็นรถคันเก่า
ที่พ่อผมเป็นคนซื้อเอาไว้ วอลโว240 สีเทา ปี1990 ทันทีที่ผมสตาร์ทเครื่อง มิราเบลวิ่งออก
มาจากในบ้านพร้อมกับตะกร้าอะไรซักอย่างในมือ เธอเดินไปเปิดประตูหลังแล้ววางตะกร้าลง
บนเบาะ ผมหันไปมองเห็นกล่องอาหารกลางวันสองกล่องพร้อมกับกระติกน้ำกับขวดน้ำเปล่า
ขนาดใหญ่หนึ่งขวด มิราเบลวางกระเป๋าลงข้างๆตะกร้าแล้วนั้งทำท่าเรียบร้อย
แกะสองข้าง ชุดที่เธอใส่เป็นเสื้อยืดธรรมดาสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีครีม ที่หลังของเธอสะพาย
กระเป๋าขนาดเล็ก ผมหันมองไปรอบๆห้อง ไม่เห็นวีแววของแม่ รถที่แม่ผมให้ยืม เป็นรถคันเก่า
ที่พ่อผมเป็นคนซื้อเอาไว้ วอลโว240 สีเทา ปี1990 ทันทีที่ผมสตาร์ทเครื่อง มิราเบลวิ่งออก
มาจากในบ้านพร้อมกับตะกร้าอะไรซักอย่างในมือ เธอเดินไปเปิดประตูหลังแล้ววางตะกร้าลง
บนเบาะ ผมหันไปมองเห็นกล่องอาหารกลางวันสองกล่องพร้อมกับกระติกน้ำกับขวดน้ำเปล่า
ขนาดใหญ่หนึ่งขวด มิราเบลวางกระเป๋าลงข้างๆตะกร้าแล้วนั้งทำท่าเรียบร้อย
" เธอไม่มานั้งข้างหน้าหรอ " ผมหันไปพูดกับมิราเบล แล้วเหลสายตาไปมองที่เบาะ
ข้างๆคนขับ ทันทีที่ผมพูดจบ เธอรีบวิ่งขึ้นมานั้งที่เบาะด้านหน้าแล้วทำท่าเรียบร้อยแบบเดิม
" ไม่รู้ว่าแม่จะออกมารึเปล่า แต่ยังไง พวกเราก็พร้อมจะออกเดินทางทุกเมื่อ ช่ายมะ "
ผมพูดแล้วหันไปยิ้ม มิราเบลทำท่าเขินนิดๆ ซักพัก แม่เดินออกมาจากบ้าน
ผมพูดแล้วหันไปยิ้ม มิราเบลทำท่าเขินนิดๆ ซักพัก แม่เดินออกมาจากบ้าน
" ค่าน้ำมันกับค่าดูแลมิร่า อยู่ในซองที่อยู่ในตะกร้า ใช้ให้มันประหยัดๆ อย่าสุรุ่ยสุร่าย
เข้าใจมั้ย ดูแลน้องให้ดีๆแทนแม่ด้วย แล้วหายกลับมาเร็วๆ " แม่พูดอวยพรพร้อมกับมีน้ำตา
ซึมนิดๆ
เข้าใจมั้ย ดูแลน้องให้ดีๆแทนแม่ด้วย แล้วหายกลับมาเร็วๆ " แม่พูดอวยพรพร้อมกับมีน้ำตา
ซึมนิดๆ
" ไม่-ต้อง-เป็น-ห่วง " ผมพูดออกมาเป็นภาษาไทยแบบที่ผมพอจะพูดได้แล้วขับรถออก
มา มิราเบลหันไปโบกมือไหวๆ
มา มิราเบลหันไปโบกมือไหวๆ
****************
ก้อนเมฆค่อยๆรวมตัวกันอย่างช้าๆอยู่เหนือท้องฟ้าด้านบน ก่อนที่พวกมันจะตัดสินใจ
หยุดอยู่กับที่ แสงแดดจ้าสาดส่องลงมาเป็นแห่งๆ ท้องฟ้าที่อยู่ด้านหน้าค่อยๆเผยให้เห็นแสง
อาทิตย์ยามเช้า ผมหยิบเอาแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แล้วเปิดวิทยุไปที่สถานีแจ๊ส เสียงของแซ็กโซ
โฟนดังออกมาจากลำโพงคู่กันไปกับเสียงเปียโนเบาๆที่ปูเป็นฉากอยู่ด้านหลัง ผมเอามือแหยที่
หูด้านซ้ายของผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเกิดอาการปวดจากการที่กดแรงเกินไป หูซ้ายของผม
เกิดอาการอื้อจนผมทรมาณ ผมรู้สึกเหมือนคนที่มีหูข้างเดียว ผมหันไปมองที่มิราเบลกำลังเปิด
กระเป๋าหาอะไรบางอย่าง
" นี่ไง" เธอหยิบเอาตุ๊กตาสีเหลืองที่หน้าตาเหมือนแมวขึ้นมาตั้งบนหน้ารถแล้วยิ้มน้อยๆ
มีความสุขคนเดียว
" นั้นตัวอะไรอะ " ผมถาม
" ลูกแมวน้อย ชื่อ เดซี่ เหมือนกับดอกเดซี่สีเหลือง "
" เดซี่...แต่ตัวมันเหลืองเกินไป สีเหมือนมัสตาร์ดมากกว่า น่าจะตั้งชื่อว่า มัสตาร์ด "
" ไม่เห็นเพราะเลย ไม่น่ากินด้วย "
" ไม่เห็นเพราะเลย ไม่น่ากินด้วย "
" ต้นมัสตาร์ด มันมีดอกสีเหลืองเหมือนกัน เธอรู้รึเปล่า " ผมหันไปยิ้ม มิราเบลทำ
คิ้วขมวด
คิ้วขมวด
" หนูเกลียดมัสตาร์ด "
" แต่จริงๆ ชื่อเดซี่ก็เพราะดี เหมาะกับหน้าร้อนดีด้วย " ผมหันไปบอกเธอ
" พี่นิค หนูหิวแล้ว เมื่อไหร่จะถึง " มิราเบลเปลี่ยนเรื่อง
" เมื่อไหร่จะถึง...อืมมม " ผมพูดแล้วหันไปมองที่วิวด้านนอก " ตอนนี้เรากำลังอยู่บนฟรี
เวย์กำลังขับลงใต้ น่าจะอีกซักชั่วโมงกว่า "
เวย์กำลังขับลงใต้ น่าจะอีกซักชั่วโมงกว่า "
" หนูหิวแล้ว อยากเข้าห้องน้ำด้วย "
ผมเลี้ยวเข้าจุดพักรถที่อยู่ถัดมาอีกซักพัก ทันทีที่จอดรถ มิราเบลรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนผมเดินไปเอากาแฟฟรีที่มีไว้บริการตรงเคาร์เตอร์ เห็นโต๊ะว่างอยู่ ผมหยิบเอาตะกร้า
อาหารกลางวันที่แม่ทำไว้ให้ เปิดดูในกล่องมีข้าวผัดหมูกับสลัดผักราดน้ำอะไรซักอย่างที่แม่ทำ
เห็นโน๊ตที่แม่ผมเขียนเอาไว้ในซองเงิน อย่าลืมให้มิร่ากินผัก พวกเราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่ว
โมงนั้งกินอาหารกลางวัน มิราเบลกินข้าวผัดกับหมูแต่เขี่ยมะเขือเทศกับหัวหอมไว้ข้างจาน ผัก
สลัดที่อยู่ด้านข้าง เธอไม่ได้แตะมันเลย
" ทำไมไม่ยอมกินผัก " ผมถามเธอ
" ก็ผักมันขม " มิราเบลเคี้ยวข้าวแล้วตอบ
" เธอรู้มั้ยว่าป็อปอายอะ เพราะกินผักขมเขาถึงได้มีกำลังแข็งแรงเกินมนุษย์มนา.." ผม
จะพูดต่อ แต่ลืมนึกไปว่าในจานไม่มีผักขม นึกเรื่องอื่นไม่ออก ผมไม่พูดอะไรต่อ
จะพูดต่อ แต่ลืมนึกไปว่าในจานไม่มีผักขม นึกเรื่องอื่นไม่ออก ผมไม่พูดอะไรต่อ
" ป็อปอายไม่ได้แข็งแรงเพราะกินผักขมซะหน่อย " มิราเบลเถียง
" หรอ เธอไม่เคยดูการ์ตูนหรอ ที่พอเขากินผักขมเข้าไปอยู่ดีๆก็มีกำลังมหาศาล
สามารถทำได้ทุกอย่างเยี่ยงซุปเปอร์แมน " ผมพูด
สามารถทำได้ทุกอย่างเยี่ยงซุปเปอร์แมน " ผมพูด
" นั้นหน่ะเขาเอาไว้หลอกเด็ก ไม่มีใครอยากกินผักขมหรอก เขาจำเป็นต้องกินมัน เพื่อที่
จะได้ช่วยโอลีฟได้ เพราะโอลีฟต่างหากเขาถึงมีพลังมหาศาล " เธอสวนขึ้นมา
จะได้ช่วยโอลีฟได้ เพราะโอลีฟต่างหากเขาถึงมีพลังมหาศาล " เธอสวนขึ้นมา
" งั้นเธอต้องกินโอลีฟเยอะๆ เข้าใจมั้ย " ผมจำเป็นต้องทำตัวเหมือนสอนอะไรเธอซัก
อย่าง ต่อให้พูดมั่วๆก็เถอะ
อย่าง ต่อให้พูดมั่วๆก็เถอะ
" พี่กินให้ดูก่อน แล้วหนูจะกินตาม "
" โอเคๆ อยากกินไรก็กินไป " ผมยอมแพ้ " ได้เวลาเดินทางต่อและ มิส โอลีฟออย "
ผมพูดแล้วเดินเอาเศษอาหารไปทิ้ง มิราเบลทำท่าดีใจแล้ววิ่งไปนั้งในรถ
ผมพูดแล้วเดินเอาเศษอาหารไปทิ้ง มิราเบลทำท่าดีใจแล้ววิ่งไปนั้งในรถ
ระหว่างทางผมนึกถึงตัวเองสมัยครั้งแรกที่พ่อกับแม่พาผมไปเที่ยวสวนสัตว์วูดแลนที่ตรงแถวๆ
กรีนวูด ผมจำได้ว่าตอนนั้นมีนิทรรศกาลนกฟลามิงโก้สีชมพูที่ทางสวนสัตว์จัดขึ้น ผมไม่เคย
รู้ตัวเองเลยจนกระทั้งทุกวันนี้ว่าผมเป็นเด็กขี้สงสัย แม่เคยพูดให้ฟังตลอดว่าผมเป็นเด็กที่ขี้
สงสัยจนทำให้แม่ปวดหัว และพ่อก็จะหัวเราะแล้วบอกว่าแม่ปวดหัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ว่า
ใครจะทำอะไร ผมจำได้ถึงสิ่งที่ผมถามแม่ ว่าทำไมชื่อฟลามิงโก้มันถึงได้มีอยู่ในหลายๆอย่าง
ทั้งนก ทั้งดนตรีและการเต้น บางทีไอ้การยืนขาเดียวของนกฟลามิงโก้อาจจะเป็นที่มาของการ
เต้น และสีสันกับขนของมันอาจจะเป็นที่มาของดนตรี จนมาตอนหลังผมถึงได้รู้ ว่าคำว่า "ฟลา
มิงโก้" ที่เป็นนก สะกดอีกแบบนึง และคำว่า "ฟลาแมงโก" ที่เป็นดนตรีนั้น สะกดอีกแบบนึง
" พี่นิค ฟังดนตรีอะไรก็ไม่รู้ " มิราเบลทักขึ้น
" ดนตรีแจ๊สไง ไม่เคยฟังหรอ " ผมตอบ
" ไม่เห็นจะเพราะเลย "
" ไม่เพราะ เธอต่างหากไม่รู้อะไร นี่มัน บิว อีวานส์กำลังเล่นเปียโนอยู่นะ ไม่มีใครเล่น
เปียโนแล้วทำให้เกิดความรู้สึกเย็นใจได้เท่าเขาอีกแล้ว " สถานีในวิทยุกำลังเปิด บิว อีวานส์
ทรีโอ ที่กำลังเล่นคัพเวอร์เพลงแจ๊สคลาสสิก How Deep Is The Ocean ♫กดเพื่อฟัง
" รู้สึกเย็นใจ " เธอสงสัย
เปียโนแล้วทำให้เกิดความรู้สึกเย็นใจได้เท่าเขาอีกแล้ว " สถานีในวิทยุกำลังเปิด บิว อีวานส์
ทรีโอ ที่กำลังเล่นคัพเวอร์เพลงแจ๊สคลาสสิก How Deep Is The Ocean ♫กดเพื่อฟัง
" รู้สึกเย็นใจ " เธอสงสัย
" ใช่ มีแต่บิวเท่านั้นที่ทำได้ เห็นมะ ดนตรีแจ๊สมันมหัศจรรย์จะตาย "
" มหัศจรรย์ " เธอทวนคำที่ผมพูด
" ใช่ ถ้าเธออยากจะฟังเพลงแจ๊สนะ เดี๋ยวเราเอาแผ่นเสียงให้ยืม เอามะ "
" แผ่นเสียง " มิราเบลทวนคำที่ผมพูดอีกครั้ง
" เอาเหอะ " ผมกดเปลี่ยนคลื่นสถานีวิทยุเป็นสถานีคลาสสิกคอล เพลงบรรเลงอะไร
ซักอย่างกำลังเล่นอยู่ เสียงไวโอลินหมู่กำลังสีอย่างดุดัน
ซักอย่างกำลังเล่นอยู่ เสียงไวโอลินหมู่กำลังสีอย่างดุดัน
" โอยยย เปลี่ยนๆ " เธอเอามือทั้งสองข้างตีไปตรงที่หน้าตักตัวเอง
" โอเคๆ " ผมเปลี่ยนสถานีอีกครั้ง คราวนี้มาอยู่ที่คลื่นอะไรไม่รู้ เสียงโฆษณา
ผลิตภัณฑ์อะไรซักอย่างดังขึ้นมา ผมกดปิดวิทยุ
ผลิตภัณฑ์อะไรซักอย่างดังขึ้นมา ผมกดปิดวิทยุ
" เธอร้องเพลงเอาเองละกัน ร้องอะไรก็ได้ซักอย่าง ที่เธออยากจะฟัง "
" Bewtiful dreamer…wake up to me…star light and dewdrop.. are
waiting for tree… " มิราเบลเริ่มร้องเพลงอะไรซักอย่างที่ฟังเหมือนเพลงเด็กอนุบาลออก
มา ผมรู้สึกว่าผมเคยได้ยินเนื้อเพลงที่ไหนซักแห่งแต่ผมจำไม่ได้ ผมขับรถเปลี่ยนสายไปทาง
ทิศตะวันออก บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนจากตัวเมืองมาเป็นป่าภายในพริบตา หูของผมตอนนี้
ด้านซ้ายขาดการตอบรับจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกทรมาณอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึก
ทั้งปวดหูและปวดหัว หันไปมองที่มิราเบล เธอกำลังเอียงคอหลับพร้อมกับกอดเจ้าเดซี่ตุ๊กตา
แมวของเธอ ผมตัดสินใจเปิดกระจกรถแล้วหยิบเอาบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุด ผม
ยื่นมือที่คีบบุหรี่ออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ควันลอยไปตามสายลมแรงที่พัดสวนมาพร้อม
กับกลิ่นไอของต้นไม้และภูเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้สนสีเขียวที่ทอดยาวออกไปไกล
สุดลูกหูลูกตา ผมแหลเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระง่านเด่นชัดอยู่ด้านหน้าราวจะจับต้องได้
ผมหันไปมองที่มิราเบลอีกครั้ง แต่เธอไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
waiting for tree… " มิราเบลเริ่มร้องเพลงอะไรซักอย่างที่ฟังเหมือนเพลงเด็กอนุบาลออก
มา ผมรู้สึกว่าผมเคยได้ยินเนื้อเพลงที่ไหนซักแห่งแต่ผมจำไม่ได้ ผมขับรถเปลี่ยนสายไปทาง
ทิศตะวันออก บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนจากตัวเมืองมาเป็นป่าภายในพริบตา หูของผมตอนนี้
ด้านซ้ายขาดการตอบรับจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกทรมาณอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึก
ทั้งปวดหูและปวดหัว หันไปมองที่มิราเบล เธอกำลังเอียงคอหลับพร้อมกับกอดเจ้าเดซี่ตุ๊กตา
แมวของเธอ ผมตัดสินใจเปิดกระจกรถแล้วหยิบเอาบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุด ผม
ยื่นมือที่คีบบุหรี่ออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ควันลอยไปตามสายลมแรงที่พัดสวนมาพร้อม
กับกลิ่นไอของต้นไม้และภูเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้สนสีเขียวที่ทอดยาวออกไปไกล
สุดลูกหูลูกตา ผมแหลเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระง่านเด่นชัดอยู่ด้านหน้าราวจะจับต้องได้
ผมหันไปมองที่มิราเบลอีกครั้ง แต่เธอไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย