บทที่ ๗


ในระหว่างที่ผมกำลังหาตำแหน่งเหมาะๆเพื่อที่จะวางกระป๋องน้ำ มีคนโทรมาหาผม ทันที
ที่มิราเบลแน่ใจว่าผมรู้เรื่อง เธอรีบเดินกลับลงไปด้านล่าง ผมวางกระป๋องน้ำไว้ตรงหน้าต่าง
ทางมุมซ้าย พยายามจะไม่ส่งเสียงดังให้เคลซี่ตื่น ผมย่องแบบเบาๆออกมาจากห้องของเธอ 
ระหว่างทาง ตาของผมเหลือบไปมองที่เคลซี่หลับแบบหันข้าง เธอไม่กรนหรือส่งเสียงหายใจ
ใดๆออกมา เธอไม่มีทางรู้ตัวแน่นอนว่าผมแอบเข้ามาในห้องของเธอตอนกลางคืน เพื่อที่จะมา
วางกระป๋องน้ำไว้ทางทิศตะวันออก ตามที่ลุงดำแนะนำ " น้ำต้องได้รับตั้งแต่แดดวินาทีแรก
จนถึงแดดวินาทีสุดท้ายของวัน ห้องของเคลซี่อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เอาเข้าไปวางแล้วกลับมา
นอนพักผ่อน " ผมค่อยๆเปิดประตูแล้วเดินออกมา ทันทีที่ลงมาถึงด้านล่าง มิราเบลยื่น
โทรศัพท์มือถือของลุงดำมาให้ผม

" ฮัลโหล
" รู้สึกอย่างไรบ้าง " เสียงแม่ของผมดังออกมาจากในหูโทรศัพท์ 
" ต้องดูกันยาวๆ " ผมตอบ
" แล้วมันดีขึ้นบ้างมั้ย
" ไม่ค่อยเท่าไหร่ "
" มาคิดๆดู จริงๆถ้าแม่เอาสร้อยกับแหวนไปขาย ก็น่าจะมีเงินพอผ่าตัดได้อยู่ " แม่ผม
พูดในที่สุด " อยากจะกลับมารึยัง " แม่ผมถาม ผมหันไปมองที่มิราเบล
" ยังอยากลองดูอีกซักพัก
" อีกซักพักนานแค่ไหน แม่คิดถึงมิร่าจะตายอยู่แล้ว ให้น้องกลับมาก่อนดีมั้ย " แม่พูด 
ผมหันไปมองที่มิราเบลอีกครั้ง " ถือสายแป็ปนะ " ผมบอกแม่แล้วยื่นโทรศัพท์ให้มิราเบลคุย
ต่อ ผมรีบเดินกลับไปที่ห้องแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง ตัดสินใจที่จะนอนเฉยๆซักพักก่อนที่จะ
ไปอาบน้ำ ผมนอนจ้องมองเพดานห้องแบบไม่คิดอะไร หรือจะพูดให้ถูก ผมเหนื่อยเกินกว่าจะ
คิดอะไรออก ซักพัก ตาของผมปิดลง โดยไม่รู้ตัว ผมเรื่มฝัน ในฝัน ผมอาศัยอยู่ในกระท่อม
หลังนึง ตอนแรกผมนึกว่าผมอยู่คนเดียว แต่ข้าวของต่างๆที่วางกระจัดกระจายภายในบ้าน
ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด ช้อนส้อมมีทั้งหมด 4 คู่ จานชาม มีเยอะเกินกว่าที่ผมจะใช้คนเดียว
ได้ ผมหันไปมองตรงที่คาดว่าเป็นที่นอน มีหมอนตั้งอยู่สองใบ ผ้าห่มสีน้ำเงินถูกพับอยู่อย่าง
เป็นระเบียบ ผมอยู่กับใคร? คนรักที่ผมไม่เคยเห็นหน้า? แสงแดดสีเหลืองทองส่องผ่าน
หน้าต่างที่แง้มเปิดไว้ด้วยไม้เล็กๆหนึ่งแท่ง ทอดยาวผ่านระหว่างกลางของโต๊ะที่ใช้วางเครื่อง
ครัว ความสว่างรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเผยให้เห็นฝุ่นที่เกาะหม้อและจานชามยาวเลยมาถึง
ละอองฝุ่นที่ลอยตัวอย่างช้าๆอยู่ตรงกลางของห้อง ราวกับว่ามีใครฉายไฟฉายเข้ามาในบ้าน
ร้างที่มืดทึบไปทั้งหลังแล้วหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน  ผมได้ยินเสียงลมพัดต้นไม้อยู่
เป็นระยะๆ เมื่อมองลอดผ่านช่องตรงหน้าต่าง ใบไม้ที่โดนลมสั่นไหวเป็นจังหวะทำให้หน้าต่าง
กลายเป็นเหมือนกับทีวี ผมหยุดยืนดู ซักพัก ผมเดินไปตรงประตูบ้านแล้วพลักประตูออกไป 
ทันทีที่พลัก ประตูหลุดออกมาจากโครงของมัน ผมค่อยๆเอียงมันพิงเอาไว้ตรงกำแพงด้านนอก 
ก้าวเท้าออกมาจากบ้าน ผมหันหลังกลับไปสำรวจตัวกระท่อม ตัวบ้านทำจากกิ่งไม้และฟางที่
อยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มที่ ที่ตามฟางทั่วบริเวณบ้านมีสีดำเข้มเป็นย่อมๆบ่งบอกถึงกาลเวลา 
ผมหันหลังกลับไปมองที่วิวตรงข้ามเป็นวิวของทุ่งหญ้าที่ทอดยาวออกไป ตรงไกลสุดของ
สายตาเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ทึบ ผมไม่รู้สึกถึงวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆเลย แม้แต่มดสัก
ตัวก็ไม่มี ตอนแรกผมจะเดินออกไปเรื่อยๆ แต่มีอะไรบางอย่างบอกผมว่าผมต้องรอ รอใครคน
นั้นกลับมา ผมนั้งลงตรงก้อนหินข้างหน้าบ้านแล้วบรรจงรอ นั้งดูทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนกับสายลม 
แสงแดดจ้าส่องกระทบกับหมู่ต้นหญ้าเป็นแสงระยิบระยับมากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรทำ ผม
ตัดสินใจว่าจะนั้งนับมันให้ถ้วนว่ามีทั้งหมดกี่ดวง แต่เริ่มนับไปไม่ได้เท่าไหร่ ผมตื่น

ทันทีที่มองนาฬิกา ผมบังคับตัวเองลุงขึ้นจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ในระหว่างที่อาบ
น้ำ ผมพยายามนึกถึงความฝันนั้นอีกครั้งแต่ผมจำไม่ได้ พอเดินออกมา ผมเห็นมิราเบลนั้งอยู่
ตรงเก้าอี้

" แม่บอกว่าอยากให้หนูกลับบ้าน " เธอพูดทันทีที่เห็นผมออกมาจากห้องน้ำ
" แล้วเธอบอกว่าไร " ผมเดินมานั้งลงบนปลายเตียงตรงข้ามกับมิราเบล พร้อมกับเอา
ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผม
" หนูบอกว่าจะกลับพร้อมกับพี่นิค "
" ซึ่ง..นั้นอาจจะนานมาก "
" ไม่นานหรอก มิราเบลรู้ ตอนอยู่กับพี่นิค เวลาไม่เคยนาน
" มันอาจจะไม่สนุกไปตลอด
" มันต้องสนุกสิ "
" เธอโตแล้ว มิราเบล เราเล่นด้วยกันได้ไม่ทุกอย่างหรอก... เธออายุเท่าไหร่นะ​ " 
" 9 " 
" นั้นไง เห็นมะ 9ขวบก็โตมากแล้วด้วย "
" หนูทำของเล่นเองได้แล้วด้วย พี่เคลซี่สอน ตอนแรกนะต้องไปตัดเอากิ่งไม้มา แล้วก็
มัดเชือก แล้วก็..แล้วก็.. " มิราเบลทำท่าทางครุ่นคิด ผมหยุดดูเหตุการณ์
" เธอควรไปนอนได้แล้ว มันดึกมากแล้ว
" ไม่เอา หนูยังไม่ง่วง " มิราเบลยืนยัน เธอเริ่มเล่าต่อแต่ผมเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ
" เราเหนื่อยมากเลย ไม่อยากคุยต่อแล้ว เธอต้องออกไปแล้วหล่ะ " ผมพูดออกมาจาก
ในห้องน้ำ ซักพัก ผมได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งออกไปนอกห้อง ตามติดมาด้วยเสียงร้องไห้ดังมา

จากไกลๆ รีบใส่เสื้อผ้า ผมเดินออกไปนอกห้อง มิราเบลกำลังนั้งก้มหน้าอยู่ตรงขั้นบันได ผม

ก้าวขากลับเข้ามาในห้องอย่างเร็วแล้วรีบปิดประตู ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ซักพัก ก่อนจะตัดสินใจ

เดินมานอนลงบนเตียง ผมกดสวิทช์ปิดไฟแล้วตัดสินใจหลับตานอน แต่พอผ่านไปไม่กี่วินาที 

ผมเปิดไฟ รีบลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปหามิราเบล

" ถ้าเธอยอมกลับไปนอน เราจะเล่าเรื่องอะไรสนุกๆให้ฟัง " ผมเสนอข้อแลกเปลี่ยน มิ
ราเบลทำเหมือนไม่ได้ยิน 
" จริงๆนะ มันสุดยอดมากเลย เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน
" ไม่เอา แจ๊ส " เธอพูดด้วยเสียงสะอื้นแบบไม่ยอมสบตา
" ไม่ใช่หรอก ว่าแต่มันไม่ดีตรงไหน " ตอนแรกผมกะจะเล่าประวัติชีวิตของ หลุยส์ 

อาร์มสตรอง ให้เธอฟัง แต่ผมคงต้องเปลี่ยน
" ไม่เอา แจ๊ส "
" แน่นอนๆ นี่มันยิ่งกว่าแจ๊สอีก นี่มัน... " ผมนึกคำไม่ออก " นั้นแหละ ว่าไง ตกลงมั้ย 
" มิราเบลไม่อยากกลับบ้าน พี่นิคต้องสัญญา ว่าให้อยู่ต่อ หนูถึงจะตกลง
" แน่นอน เธอไม่ใช่เด็กๆแล้วหนิ ไม่มีใครห้ามเธอได้ "
" สัญญา ? "  มิราเบลรีบหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้ม
" สัญญา " ผมตอบ

ผมกับมิราเบลเดินลงบันไดมาจนถึงด้านล่าง พอมาถึงตรงหน้าเคาร์เตอร์ไม้ ผมอุ้มเธอขึ้น
ไปนั้งด้านบน มิราเบลทำท่าทางบิดขี้เกียจแล้วล้มตัวนอนราบลงไปบนเคาร์เตอร์ ฝืนตัวเองให้
ลืมตา เธอหันมาพูดกับผม

" พร้อมและ " ที่แววตาของเธอยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ผมยาวหยักโศกสี

ทองแดงของเธอ สยายแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างคล้ายกับหางของม้า ด้วยความล้า ผม
แอนตัวไปพิงกับเคาร์เตอร์ด้านหน้า แล้วบรรจงยืนในลักษณะเอาคางหนุนข้อมือทั้งสองข้าง 
สายตาจับจ้องไปที่ประตู แต่ในหัวผมพยายามนึกถึงเรื่องอะไรซักอย่าง ผมไม่รู้จริงๆว่าจะเล่า
อะไร
" ก่อนที่จะเล่า ขอถามอะไรเธออย่างได้มั้ย " ผมเอียงคอไปถาม ตอนนี้มิราเบลนอน

หงายมองไปที่เพดาน
" เธอเชื่อในโชคชะตามั้ย " ผมถามโดยไม่รอ
" โชคชะตา
" อือ โชคชะตา "
" โชคชะตา คือ อะไร
" มัน..คือ.. สิ่งที่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นกับเรา แบบที่เราควบคุมมันไม่ได้ "
" เหมือนกับ อึแตก ช่ายมะ " มิราเบลขำ
" ประมาณนั้น " ผมถอนหายใจ
" งั้นหนูเชื่อ แล้วพี่นิคหล่ะ เชื่อรึเปล่า " เธอพูดต่อ
" เชื่อสิ เรื่องขี้นี่สำคัญมากเลย " ผมกับมิราเบลหัวเราะพร้อมกัน
" เอาหล่ะ จะเล่าให้ฟังถึงนิทานสุดยอดในตำนาน เกี่ยวกับ "อุจจาระ" เนี่ยแหละ 
พร้อมจะฟังแล้วช่ายมั้ย
" ยี้! มันจะสนุกหรอ ไม่ดีหรอก
" เปล่าๆ อันนี้มันเป็นขี้ที่ไม่ธรรมดา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่อยู่ดีๆวันนึงเข้าก็ไม่
สามารถ ทำธุระส่วนตัว ได้อีกต่อไป "
" แล้วมันไม่ทรมาณหรอ
" ทรมาณสิ ทรมาณมากเลย เธอเองก็คงเคยทำช่ายมั้ย อั้นมันไว้นานๆ มันทรมาณ

มาก แต่ลองนึกดูสิ เด็กหนุ่มคนนี้เขาต้องอั้นมันไว้ตลอดกาล "
" ตลอดกาล "
" ใช่ ข้างนอกเขาก็เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาๆทั่วไป เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ตื่นมาตอนเช้า 
ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ เล่นกับเพื่อน กลับบ้าน กินข้าว นอน อะไรทำนองนั้น สิ่งเดียวที่เขา
แตกต่างคือ เขาไม่สามารถขี้ได้ แล้วต้องอั้นมันไว้อยู่อย่างนั้น แล้วเขาก็ต้องซ่อนความรู้สึก 
ปวด เอาไว้ไม่ให้ใครรู้
" เขาฉี่ได้รึเปล่า "
" ฉี่ได้ตามปกติ อึไม่ได้อย่างเดียว "
" แล้วทำไมเขาต้องซ่อนมัน "
" เพราะว่า..เพราะ..เขาไม่อยากถูกเพื่อนๆหรือทุกคนล้อว่า แปลกประหลาด "
" แย่มาก หนูเกลียดพวกชอบล้อ "
" อืมม "
" พี่นิค ตลอดกาลนานแค่ไหน " มิราเบลสงสัย ผมพยายามนึก 
" นานมาก พี่รู้แค่นี้แหละ
" ทำไมเขาไม่บอกแม่ของเขา
" ไม่มีใครช่วยได้ ไม่แม้แต่หมอ
" แม้แต่หมอก็ช่วยไม่ได้ "
" ถูกต้อง "
" เขาไม่เศร้าแย่หรอ บอกใครก็ไม่ได้ ให้ใครช่วยก็ไม่ได้
" เศร้าที่สุดเท่าที่คนๆนึงจะเศร้าได้ " ผมหยุดพูดไปชั่วขณะ มิราเบลนอนนิ่งไม่
ขยับเขยื้อน
" เวลามิราเบลเศร้า มิราเบลจะร้องเพลง " เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบ
เอากล่องสี่เหลี่ยมรูปร่างคล้ายกล่องไม้ขีดออกมา แล้วเธอค่อยๆบรรจง หมุนแท่งเหล็กเล็กๆที่
ยื่นออกมาจากด้านข้างของกล่อง เสียงดนตรีเบาๆดังออกมาแบบไม่ประติดประต่อ 
" Beautiful dreamer…wake up to me…star light and dewdrop.. are 
waiting for tree… " เธอร้องท่อนเดียว ซ้ำๆวนไปวนมา แต่เสียงร้องของเธอผิดคีย์และไม่
ตรงจังหวะกับไอ้กล่องดนตรีนั้น 
" พี่นิค หนูง่วงนอนแล้ว " มิราเบลยื่นกล่องดนตรีมาให้ผม แล้วหลับตาลง
" นี่ๆ " ผมเขย่าแต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึก " อย่าพึ่งนอนตรงนี้ " ผมพยายามปลุก แต่มิรา
เบลนอนนิ่ง ปล่อยให้แสงจากหลอดไฟที่อยู่ด้านบน ส่องลงมาที่ใบหน้าตอนหลับของเธอ 

ผมเอากล่องที่อยู่ในมือขึ้นมาดู ด้านหน้ามีรูปของเด็กผู้ชายที่มีปีกเป็นผีเสื้อ ยืนอยู่บนเรือที่
ทำจากใบไม้ ภาพของมันทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาสมัยยังเป็นเด็ก ทันใดนั้นผมนึกขึ้นได้ ว่าผม
เคยได้ยินเมโลดี้นี้ที่ไหนซักแห่ง มันน่าจะเป็นเพลงของ สตีเว่น ฟอสเตอร์.."บิวตีฟูล ดรีม
เมอร์"
" พอไม่อยากนอน ก็บอกให้ไปนอน พอหนูง่วง ก็บอกไม่ให้นอน " มิราเบลบ่นพึมพำออ
อกมาทั้งๆที่หลับตา 
        
        " พี่นิค นี่ เข้าใจยากจริงๆ "