บทที่ ๑




" คุณเป็นโรคทินนิทัส " ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวพูดออกมา
" อะไรนะครับ
" โรคทินนิทัส..เป็นอาการผิดปกติของหู เกิดจากที่เส้นประสาทในหูชั้นในเกิดบาดแผล 
สาเหตุนั้นมีหลายกรณี แต่ในกรณีของคุณผมสันนิษฐานได้ว่า เกิดจากสองสาเหตุหลักๆ อย่าง
แรกเลยคือ..จากข้อมูลที่คุณกรอกเอาไว้..ใช้ตัวยาเเอสไพรินในปริมาณที่เกินขีดจำกัดในระยะ
ยาว บวกกับ..อาชีพที่คุณทำ.. นักดนตรี.. เพราะฉะนั้น สาเหตุอย่างที่สองน่าจะเกิดจากการที่
ต้องอยู่กับเสียงดังอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน " คุณหมอปิดแฟ้มเอกสารแล้วมองมาที่ผม
" อะไรนะครับ
" ผลจากเครื่องแสกนโชว์ให้เห็นการอักเสบของเส้นประสาทในหูทั้งสองข้าง บวกกับ 
ผลการทดสอบการตอบรับไปมาระหว่างสมองกับเส้นประสาทในหูของคุณปรากฎการตอบรับ
ที่ช้าและผิดปกติ ในกรณีทั่วไปๆ โรคทินนิทัสนั้นไม่ร้ายแรงและจะหายไปเอง ผู้ป่วยจะมีอาการ
หูอื้อหรือได้ยินเสียงดังก้องอยู่ในหูเป็นระยะเวลานาน ทำให้ระบบการรับฟังด้อยประสิทธิภาพ
ลงไป " คุณหมออธิบายพร้อมกับชี้ไปที่ภาพประกอบบนจอโปรเจคเตอร์ " แต่...ในกรณีของ
คุณ มิสเตอร์..สุ..สุภัศสิริ ผมเสียใจเป็นอย่างมากที่จะต้องบอกคุณว่า มันจะยิ่งแย่ลงๆ "
" แย่แค่ไหนครับ
" อย่างมาก 2 เดือน.. ก่อนที่หูของคุณจะเหลือการได้ยินแค่ 5 เปอร์เซนต์เท่านั้น ถ้า
เกิดไม่หนวกไปเลย " คุณหมอพูดมาที่ผมทำหน้าตาขึงขัง

ทุกอย่างเป็นความผิดของใคร? ใช้ยาแอสไพรินในปริมาณที่มากเกินไปนั้นจริงๆแล้วไม่ใช้สิ่งที่
ผมชอบทำเลย แต่ช่วง2-3เดือนมานี่ ทุกครั้งที่ตื่นนอน ผมจะมีอาการหูอื้อด้านซ้ายและเจ็บใน
ช่วงบริเวณแผ่นหลัง ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอะไรมากมาย เหมือนกับทุกๆทีที่มันจะ
กลับมาเป็นปกติเอง แต่อาการที่ผมเป็นมันยิ่งแย่ลงๆ ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน จากหูที่อื้อเป็น
เวลาครึ่งชั่วโมง เพิ่มเป็น 3 ชั่วโมงและปัจจุบัน ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันกว่าหูของผมจะ
กลับมาเป็นปกติ อาการปวดหลังที่ไม่ยอมหายไปซักทีทำให้ผมหันมากินยาแก้ปวด ผมจำไม่ได้
ว่าผมกินหมดไปแล้วกี่ขวด
        " วิธีเดียวที่ผมสามารถแนะนำคุณได้คือเข้ารับการผ่าตัด ถ้าคุณตัดสินใจ รับเอกสารนี้
ไปอ่าน กรอกข้อมูลแล้วเอามายื่นให้ผมอย่างเร็วที่สุด คุณ.. คุณ..สุ...ภัศ.. "
" เรียกผม นิค เฉยๆก็ได้ครับ " ผมขอบคุณแล้วเดินออกมา


สิ่งสุดท้ายในโลกที่ผมอยากจะทำคือโทรศัพท์ไปหาแม่ของผม ทุกครั้งที่ผมคุยกับแม่ ถ้าไม่
ลงเอยด้วยการทะเลาะกันก็จบแบบครึ่งๆกลางๆตลอด ผมเป็นคนบอกแกเองว่าจะออกมาจาก
บ้านเมื่อผมอายุครบ18ปีเพื่อที่จะมาเป็นนักดนตรีแจ๊ส นี่ก็4ปีมาแล้วที่ผมย้ายออกมาแบบไม่
พูดไม่จา แม่ของผมแกเป็นคนที่หัวโบราณที่สุดในโลก ผมไม่โทษแกด้วยความที่แกไม่ใช่คนที่นี่
แต่เป็นคนไทยที่ย้ายมาอยู่ที่อเมริกา ลงเอยแต่งงานกับพ่อ แล้วก็มีผม ตั้งแต่พ่อแยกทางออก
ไปเมื่อ7ปีก่อน นั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมหลงใหลการเล่นดนตรีและก็เริ่มจับกีตาร์ 
หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่พ่อจะหย่ากับแม่ พ่อใช้เวลาวันสุดท้ายพาผมไปดูคอนเสิร์ตที่แจ๊สอัลเลย์ใน
ดาวทาวน์ซีแอตเทิล ผมยังจำเสียงปรบมือได้ ผมยังจำแสงของสป็อตไลท์ที่ฉายลงมาที่นัก
ดนตรีคนนั้นได้ เขาที่นั้งอยู่บนเก้าอี้ไม้ธรรมดาๆ มีแค่ขวดน้ำหนึ่งขวดตั้งข้างๆเก้่าอี้ เสียงของ
กีตาร์ไฟฟ้าเปล่าๆที่ดังออกมาจากแอมป์ ท่ามกลางเวทีที่ว่างเปล่า รอบกายมีแต่ความมืดมิด
และความเงียบ ตกอยู่ในห้วงภวัง ผมนั้งดูชายคนนั้นเล่นกีตาร์ของเขาคนเดียว เวลาหยุดเดิน 
ผมลืมไปว่าผมกำลังทำอะไรอยุู่ ผมลืมไปว่าพ่อกำลังจะอย่ากับแม่ ผมลืมไปว่าผมกำลังง่วง 
กำลังเหนื่อย กำลังเศร้า ทุกความรู้สึกหมดหน้าที่ของมัน แล้วเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า 
กลับมาถึงบ้าน ผมขอให้พ่อซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย ตั้งแต่นั้นมา สิ่งเดียวที่
ผมฝันอยากจะเป็น คือ นักดนตรีแจ๊ส

        " ฮัลโหล " หลังจากสองกริ๊ง แม่รับโทรศัพท์

" แม่ นี่ นิโคลัสพูด " ผมรีบพูดตอบแต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ ผมได้ยินเสียงร้องไห้
" แม่.. โอเครึเปล่า ? " ผมเหลือบไปมองข้างๆ เด็กวัยรุ่นผู้ชายกำลังง่วนอยู่กับการ
เปิดสมุดเบอร์โทรศัพท์
" แก.. แกจะโทรมาทำไมป่านนี้วะ ไม่รอให้แม่ตายไปก่อนแล้วค่อยโทรมา " แม่พูดออก
มาด้วยภาษาอังกฤษที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ฟังรู้เรื่อง ผมยังได้ยินเสียงสะอื้นดังออกมาเป็นพักๆ
" ผมไม่มีเวลาพูดนานนะ นี่เหรียญจะหมดแล้วด้วย ขอคุยอะไรจริงๆจังๆหน่อยได้รึเปล่า 
" ผมรีบควักเหรียญ25เซนต์จากกระเป๋ากางเกงออกมาอีก2เหรียญ 
" แล้วโทรศัพท์มือถือแกไปไหน ไม่ได้คุยกันตั้ง 4 ปี นี่จะคุยให้มันนานๆหน่อยไม่ได้หรอ 
" แม่ดูเหมือนจะรวมรวบสติได้แล้วเริ่มพูดจาเสียงดังขึ้น
" พึ่งโดนตัดไปสองอาทิตย์ก่อน.. ช่วงหลังนี่ผมไม่ค่อยมีงานไปเล่นที่ไหน.. สาเหตุ
หลัก..ก็ที่จะโทรมาคุยด้วยนี่แหละ... " ผมหยุดพักหายใจ
    
        " หู ผม กำลัง จะ หนวก " 
" หูหนอก หูหนอก คืออะไร " แม่สงสัย
" หูหนวก..ไม่ใช่ หนอก มันแปลว่า ผมจะไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรอีกเลย หมอบอก
ว่าอีกประมาณสองเดือน " ผมตั้งสติแล้วทำใจในสิ่งที่แม่ผมจะพูดต่อจากนี้ ผมรู้ดีว่าแกจะพูด
อะไร
" แม่บอกแกแล้ว ตั้งแต่แกเด็กๆ ว่าไอ้อาชีพนักดนตรีเนี่ย มันเป็นอาชีพคนจนแล้วมันจะ
ทำให้แกมีแต่ความลำบาก แม่บอกแกแล้วแต่แกไม่เคยเชื่อ แล้วตอนนี้เป็.... " ผมดึงหูโทร

ศัทพ์ออกมาไว้ห่างจากหูของผม สูดหายใจลึกๆเข้าปอด หันไปมองที่ข้างๆตัวผมอีกครั้ง เด็ก

ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว

" แม่ ที่ผมโทรมานี่ก็เพื่อจะปรึกษา ถ้าเกิดแม่จะบ่นอย่างเดียว ผมจะวางเดี๋ยวนี้แหละ
ผมพูดเสร็จ แม่นิ่งเงียบไป ปล่อยให้ผมตั้งใจฟัง
" แกยังมีรถอยู่รึเปล่า
" ไม่มีแล้ว มีแต่จักรยาน
" ไม่เป็นไร แกเอาตังค์ทั้งหมดที่แกมีนะ นั้งรถเมล์มาหาแม่ แกจำบ้านได้ใช่มั้ย ใกล้จะ
ถึงแล้วโทรมาบอก แม่จะเตรียมทำอาหารไว้ให้ " แม่พูด
" นี่ ผมไม่ได้โทรมาเพื่อจะนัดวันสังสรรค์ครอบครัวนะแม่ ผมจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อที่จะ
ไปผ่าตัด " ผมถอดใจ ไม่น่าโทรมาหาแม่ตั้งแต่แรกแล้ว
" เงินแม่ไม่มีเยอะขนาดนั้นหรอก แกรู้รึเปล่าว่าแม่ไม่ใช่เศรษฐี แต่แม่มีความคิดบาง
อย่างพุดขึ้นมา แกจำลุงดำได้มั้ย คนที่แต่ก่อนเด็กๆแม่เคยพามาอยู่ด้วยที่บ้าน " แม่พูด ผม
พยายามนึกถึงหน้าลุงดำ แต่ผมนึกหน้าไม่ออก " นั้นแหละ แกเป็นนักสมุนไพรโบราณ เปิดโรม
แรมให้คนป่วยไปพักรักษาตัว เห็นบอกว่าอยู่แถวเขาเรนเนีย เคยได้ยินว่าคนที่มาพักส่วนใหญ่
จะเป็นคนที่หมดหนทางที่จะรักษาโรคจริงๆ พอแกพูดถึงเรื่องโรคของแก ชื่อลุงดำมันก็พุดขึ้น
มาในหัวแม่ ชั้นจะลองหาเบอร์โทรศัพท์ของลุงให้เจอแล้วโทรไปปรึกษา ดีไม่ดี อาจจะมี
ทางให้แกไปรักษาตัวที่นั้นได้ " ผมปล่อยให้ไอเดียของแกซึมซับเข้าไปในหัวของผม หลังจาก
ตอบตกลง ผมนั้งรถเมล์กลับไปที่ห้องเช่า ทันทีที่ถึงห้อง ผมล้มตัวลงนอนบนเตียง นอน
นึกถึงเส้นทางที่จะเดินทางไปหาแม่พรุ่งนี้ ผมเหลือบไปมองท้องฟ้ายามเย็นผ่านทางหน้าต่าง 
นึกขึ้นได้ เอื้อมมือไปหยิบเอากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู 
" ..อย่างกับว่ามีทางอื่นอีกอะแหละ " ผมโยนกระเป๋าสตางค์ลงบนโต๊ะแล้วเอือบมือไป
หยิบขวดวอดก้า