" น้ำ คือ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่ใดมีน้ำ ที่นั้นมีชีวิต " ลุงดำ
พูดพร้อมกับพยุงตัวเองขึ้นไปยืนบนก้อนหินขนาดใหญ่ " คนสมัยโบราณ นิยมตั้งถิ่นฐานอยู่
ใกล้แม่น้ำ เพราะนอกจากจะใช้ดื่มกินและใช้ชำระล้างสิ่งสกปรก น้ำยังเป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อ
ระหว่างชีวิตและชีวิต " ลุงเอามือป้องที่หน้าผากแล้วเงยหน้าไปที่ยอดเขา
" ตัวกลางระหว่างชีวิตและชีวิต " ผมสงสัย
" สัตว์น้ำต้องใช้น้ำ สัตว์บกต้องใช้น้ำ ต้นไม้ต้องใช้น้ำ ถึงแม้จะอยู่กันคนละที่ แต่
ตัวกลางเดียวกัน " ลุงดำเดินไปเจอก้อนอะไรซักอย่างบนพื้น แกชะงักชั่วครู่แล้วยกขาข้ามมัน
ไป
" หนุ่มเคยคิดบ้างมั้ย ว่าบางทีเรามีความคิดที่แปลกๆ อย่างเวลาเราปลูกต้นไม้ เรารด
น้ำใช่มั้ย เราพรวนดิน เราใส่ปุ๋ย เราคิดว่าเราเป็นคนดูแลมัน " ลุงสำรวจซากต้นไม้ที่นอนพาด
ยาวอยู่ระหว่างหมู่ก้อนหิน ผมหยุดเดิน " แต่จริงๆ เราไม่ได้ดูแลมันหรอก ต้นไม้ดูแลตัวมันเอง
ต่างหาก เราทำได้ดีที่สุดแค่เป็นคนอำนวยความสะดวก ใช้น้ำเป็นตัวกลาง เชื่อมต่อระหว่าง
ชีวิตเรากับชีวิตมัน " ลุงเลิกสนใจแล้วเดินต่อ
วันนี้ตอนช่วงโปรแกรมพิเศษภาคเช้า ลุงดำพาผมขับรถออกมาจากโรงแรมด้วยรถกระบะคันสี
ขาวของแก ผมไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องมาเดินเขา ลุงบอกแค่ว่า ให้ผมกินอิ่มท้องแต่อย่าอิ่ม
เกินไป แกพาผมขับรถออกมาประมาณครึ่งชั่วโมงจนมาจอดรถตรงปากทางที่มีป้ายบอกว่า
"คาร์บอน เกรซิเออร์ เทรว" หลังจากเอาแบ็กแพ็กสะพายหลัง แกบอกให้ผมคอยเดินตาม
พวกเราเดินขึ้นทางที่ทำไว้ยาวประมาณ7ไมล์ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมเหยียบลงบนพื้น ผมได้ยิน
เสียงน้ำดังมาจากไกลๆ ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกที่เดินขึ้นเขามา ถนนเต็มไปด้วยโคลนทราย ทุก
ย่างก้าวที่ผมเหยียบ เกิดรอยเท้ารูปรองเท้าโอนิซึกะสีแดงของผม ผมเดินตามรอยเท้าของลุง
ดำแบบก้าวต่อก้าว เอารองเท้าผมเหยียบลงบนรอยเท้าของลุง แต่ซักพัก ด้วยความที่มองรอย
เท้าจนเพลิน พอรู้ตัวอีกที ผมพบตัวเองอยู่ด้านบนของน้ำตกขนาดใหญ่ยักษ์ ผมรู้สึกได้ถึงพลัง
อันมหาศาลของมันที่พลักดันได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่นาน ทางเปลี่ยนกลับมาเป็นป่าเหมือน
ตอนแรกแต่ถนนเปลี่ยนจากดินทรายมาเป็นดินธรรมดา พอพวกเรามาถึงจุดที่คาดว่าคือที่ตั้ง
แคมป์ ลุงดำเอาเสื่อปูลงบนพื้น แล้วเอาขนมปังสอดไส้บลูเบอร์ลี่ของร้านที่ขายออกมาสอง
ก้อน แกยื่นก้อนนึงให้ผม หยิบกล้วยมาหนึ่งลูกให้ผม แถมท้ายด้วยกาแฟเย็นที่แกเตรียมมา เท
ครึ่งนึงให้ผม หลังจากกินอิ่มท้องแบบพอประมาณ ลุงดำบอกให้รีบเดินไปต่อ ผมที่ยังไม่ค่อย
หายเหนื่อย จำใจต้องทำตาม เพื่อเป็นการเรียกสปิริตกลับคืนมา ผมพยายามมองวิว วันนี้
อากาศสดใส ผมพยายามฟังเสียงนกร้อง แต่ไม่มีตัวใดส่งเสียงออกมา พอมาได้อีกซักพัก ลุง
ดำมาหยุดอยู่ตรงสะพานข้ามขนาดใหญ่ ตัวสะพานทำมาจากไม้ต่อกันเป็นท่อนๆที่ผูกติดกับ
เชือกอย่างหนายาวและพาดสลับกันเป็นราวจับ ยาวข้ามไปถึงอีกฝั่ง แกหันมาพูดกับผมว่าต้อง
ค่อยๆเดินทีละคน ผมกลืนน้ำลายแล้วมองไปที่วิวที่อยู่ด้านล่าง หินต่างๆนาๆ หลายขนาดเรียง
ยาวกันกระจัดกระจาย ผมเห็นวิวภูเขาเรนเนียหนึ่งซีกอยุู่ไกลๆ ช่วงตรงกลาง สะพานมีอาการ
แกว่งเล็กน้อย ผมพยายามทรงตัวแล้วเดินแบบรวดเร็ว พอข้ามสะพานเสร็จ พวกเราเดินต่อ
อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง จนมาถึงที่ๆคาดว่าจะเป็นที่หมาย ผมใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่
พยายามเดินให้ตรง
" เขาเรนเนียแห่งนี้ มีแหล่งน้ำที่บริสุทธ์ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในแทบตะวันออกเฉียงเหนือ
ของอเมริกา หรือดีไม่ดี มันอาจจะดีที่สุดในอเมริกาเลยก็ว่าได้ ในความคิดของลุง อย่างใน
ประเทศนิวซีแลนด์ จะมีเทือกเขาคุก ใช่มั้ย หรือในญี่ปุ่นก็มีภูเขาฟูจิ แต่น้ำแข็งที่ละลายมา
จากบนยอดเขาแห่งนี้ ก็บริสุทธืไม่แพ้ที่ไหนๆ รัฐวอชิงตัน มีทั้งทะเล ภูเขาและต้นไม้ หนุ่มรู้มั้ย
ว่าสามสิ่งนี้รวมกันเป็นอะไร " ลุงหันมาถาม ผมส่ายหน้า
" ฝน! กระแสลมที่พัดความชื้นจากทะเลบริเวณรอบพิวเจ็ต ซาวด์ เข้ามาในพื้นที่ ถูกปิด
กั้นไว้ด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ ทำให้พวกมันกลั่นตัวกลายเป็นฝน หนุ่มรู้มั้ยว่าที่ซีแอตเทิล ฝน
ตกเฉลี่ยเก้าเดือนต่อปี "
" ผมพอจะรู้สึกได้ "
" แม่น้ำคาร์บอนที่อยู่ด้านล่างคือน้ำที่ไหลมาจากธารน้ำแข็งบนยอดเขา เพราะน้ำแข็ง
ในบริเวณนี้ทั้งแถบตั้งอยู่ในโซนของปล่องภูเขาไฟและละลายจากด้านล่างขึ้นด้านบน น้ำแข็งที่
แข็งตัวเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อน ค่อยๆละลายอย่างช้าๆ รวบรวมและกลั่นกรองแร่ธาตุ
ต่างๆกับออกซิเจนที่อยู่ในหิน " ลุงเดินมาถึงที่ๆดูเหมือนถ้ำหิน
" ลุงจะพามาลิ้มรส น้ำก่อนที่มันจะกลายเป็นน้ำ "
" น้ำก่อนที่มันจะกลายเป็นน้ำ " ผมทวนคำพูด
" ถูกต้อง ว่าแต่นี่กี่โมงแล้ว " ลุงถาม ผมไม่มีนาฬิกา
" ไม่เป็นไร จริงๆแล้วเราจะต้องรอจนถึงตอนเที่ยง " ลุงพูด
" ตอนเที่ยง " ผมย้ำ นี่มันต้องเลยเที่ยงไปแล้วอย่างแน่นอน
" ใช่ ลุงนัดคนๆนึงไว้ " ลุงพูดพร้อมมองไปรอบๆ แต่ทันที่เดินเข้าไปตรงทางเข้าถ้ำ มี
ชายผิวคล้ำในชุดของชนเผ่าอินเดียแดง กำลังนั้งทำอะไรซักอย่าง
" เฮ้ แดง เป็นยังไงบ้าง " ทันทีที่ลุงเห็น แกรีบเดินเข้าไปจับมือและก็กอดทักทายชาย
คนนั้น
" นายยังแข็งแรง ดำ " ชายคนนั้นพูดพร้อมกับชำเลืองมามองที่ผม
" นิค นี่ ลุงแดง เพื่อนของลุงเอง " ลุงดำเรียกผมให้เข้าไปจับมือกับแก ลุงแดงกับลุงดำ
ลุงดำกับลุงแดง อยู่ดีๆผมนึกถึงแบตเตอร์รี่รถยนต์
" เด็กหนุ่มที่ป่วย เรียกข้า ปีกแดง " ลุงปีกแดงเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ แกมีใบหน้าที่ยาว
เป็นรูปกล้วย ดวงตาทั้งคู่ของแกทำให้ผมรู้สึกเศร้า มันใส แดงและช้ำราวกับว่าแกไม่ได้นอน
มาหลายวัน จมูกที่ใหญ่เกินขนาดของแก อยุู่ไม่ห่างจากปากที่หนาและเป็นสีดำเท่าไหร่นัก
บริเวณรอบใบหน้า เต็มไปด้วยรอยย้นคล้ายกับดินที่แตกเป็นลาย
" หูไหน " แกพูดด้วยเสียงทุ้ม
" ทางขวา " ลุงดำรีบบอก
" ลุงครับ ..ตอนนี้..คือ ที่ผมเป็น.. หูซ้าย "
" หูซ้ายที่อยู่ทางขวา " ลุงดำพูดจากมุมมองของปีกแดง
" ครับ แต่จริงๆแล้วก็เป็นทั้งสองข้าง " ผมสารภาพ
" ฮะ " แกไม่ฟัง ทำท่าทางสำรวจหูซ้ายของผมอย่างจริงจัง เสร็จแล้วพยักหน้ากับตัวเอง
" เป็นอย่างไรบ้าง " ลุงดำถาม
" วะ ไม่เห็น มืด "
" ผมว่าเราไปกันข้างนอกถ้ำแล้วค่อยเข้ามาจะ... "
" อะวะ " ปีกแดงไม่สนใจ แกเอามือขวาดึงติ๋งหูผมอย่างแรง แล้วเอาอีกมือเอื้อมไปหยิบ
ไฟฉายที่อยู่ด้านหลัง แกส่องไปที่รูหู สักพักก็พยักหน้า
" อืมม " ปีกแดงทำท่าแสดงความมั่นใจ ล้วงมือไปในกระเป๋าสะพายแล้วหยิบเอาไปป์
สูบขนาดยาวออกมา แกหยิบเอายาเส้นออกมาจากซอง ใส่หนึ่งหยิบมือลงไปที่ปลายกระบอก
แล้วนั้งขัดสมาทลงไปบนพื้นถ้ำ ด้วยความต่อเนื่อง แกดึงไม้ขีดไฟหนึ่งก้านออกมา แล้วสบัด
แขนขูดกับพื้นหินข้างหน้าด้วยความเร็ว วินาทีที่มีเสียง ชิ๊ก! เปลวไฟเล็กๆติดที่หัวไม้ขีด แกเอา
มันไปจ่อไว้ตรงปลายกระบอกแล้วบรรจงสูบอากาศเข้าไปอย่างเต็มปอด กลุ่มควันสีเทาลอย
วนเวียนไปในอากาศอย่างช้าๆ ช้าจนราวกับว่ามันจะเริ่มรวมตัวกันเป็นรูปภาพบางอย่าง ปีก
แดงนั้งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ผมเหลือบไปมองที่ลุงดำ แกจ้องมองทุกอย่างแบบไม่มีกระพริบตา
ผมกลืนน้ำลายเบาๆ
" พ่อหนุ่ม " ลุงปีกแดงเรียกผม
" พ่อหนุ่ม " แกเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น ผมเดินไปหา
" ตามมา " ปีกแดงลุงขึ้นด้วยความเร็วแล้วรุดหน้าเดินออกไป ลุงดำหันมาสบตาผม
ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วออกเดินตาม ผมที่ไม่มีทางเลือก ตามไปเป็นคนสุดท้าย ผมตามแกจนลึก
ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วออกเดินตาม ผมที่ไม่มีทางเลือก ตามไปเป็นคนสุดท้าย ผมตามแกจนลึก
เข้าไปถึงข้างในถ้ำ ผมเดินตามไปอย่างระมัดระวังเพราะความมืดค่อยๆเข้าปกคลุมอย่างไม่รู้
ตัว ผมเริ่มมองไม่เห็นหลังของลุงดำ ผมเดินมาเป็นเวลาประมาณ10นาที ทางที่เข้าไปค่อยๆ
แคบลง ผมได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นอยู่ใกล้ๆ
" อย่าหันหลัง " เสียงปีกแดงดังขึ้นมาจากความมืดแต่ผมไม่เห็นตัวแก อันที่จริง ผมเริ่ม
ไม่เห็นแม้แต่ทางที่อยู่ด้านหน้า
" ค่อยๆคลาน " คราวนี้เสียงลุงดำดังขึ้นมา ผมพบตัวเองติดอยู่ระหว่างซอกหินที่มี
ความกว้างพอดีตัว ผมอยู่ในสภาพหมอบคลาน พยายามตะกายมือทั้งสองข้างเพื่อเคลื่อนตัว
ไปด้านหน้า ผมรู้สึกว่ามือของผมถลอกและเจ็บไปหมด ที่เขาของผมเกิดอาการปวดแปลบๆ
หลังของผมชา ผมหยุดพักเพื่อหายใจ
" รอก่อนครับ " ผมตะโกนแต่ไม่มีใครตอบ ทันใดนั้นแล้วรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรเลื้อยไป
เลื้อยมาอยู่ใกล้ๆ ผมร้องเสียงหลงออกมาแล้วกลั้นใจ ถไลตัวให้ออกมาจากช่องอย่างเร็วที่สุด
ที่ปลายของสายตาผมเห็นแสงอยู่ไรๆ สิ่งเดียวที่ผมคิดคือไปให้ถึงแสงนั้นให้เร็วที่สุด ทันใดนั้น
ผมรู้สึกว่ามีมือมาดึงที่แขนของผม พอตัวท่อนบนของผมลอดออกมาจนถึงทางออก ลุงดำปล่อย
มือ
" ถึงแล้ว " ปีกแดงพูดพร้อมกับยืนนิ่งในท่ากอดอก ผมเห็นธารน้ำแข็งขนาดเล็กที่มีน้ำ
ไหลอยู่ระหว่างกลาง ผมถไลตัวจนออกมาจากช่องนั้นได้ ทันทีที่ลงมาถึงพื้นด้านล่าง ผมนั้งลง
ไปหอบกับพื้น
" ที่นี้แหละ น้ำก่อนที่จะเป็นน้ำ " ลุงดำบอก พอหันกลับไปมองที่ปีกแดง แกเอากระป๋อง
ทรงสูง ตักน้ำขึ้นมาจากลำธาร ปิดฝาแล้วก้มหน้าทำสมาธิ ซักพักแกเดินมาที่ผม
" หน้าต่าง ทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ หนึ่งวัน " แกพูดพร้อมเอาชี้จิ้มไปที่กระป๋องแล้ว
ทำท่าตั้ง " ต้ม ใบกิงคโก โรสแมรี่ กระเทียม พืชทะเล " ผมฟังสำเนียงจากพูดแบบห้วนๆของ
แก แต่ไม่ได้ตั้งใจจำ
" ไม่ต้องห่วง ลุงมีครบหมด ไว้กลับไปแล้วค่อยทำ " ลุงดำพูด
" แล้ว..แล้ว.ขากลับ.." ผมที่นึกขึ้นได้ รีบถามปีกแดงด้วยความตกใจ
" ทางนี้ " แกชี้ไปตรงปากถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผมโล่งใจ
" อย่าลืม ถ้ำ เข้ายาก ออกง่าย " แกพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ดังกังวานไปทั้งถ้ำ อากาศที่
เย็นชื้นภายใน ทำให้ผมเริ่มรู้สึกหนาว ที่บนเพดานและพนังโดยรอบ ถูกเคลือบไปด้วยน้ำแข็ง
ที่ขุ่นใสและเว้าเป็นรอยคลื่น เหมือนกับอัญมณีสีขุ่นที่มีแต่ธรรมชาติและกาลเวลาเท่านั้นที่สร้าง
มันได้ พอผมหันไปมองที่ปีกแดง ริมฝีปากที่หนาและดำของแก เผยให้ผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆ พอ
เห็นแบบนั้น ผมเองก็อดไม่ได้ ที่จะต้องทำตาม
เห็นแบบนั้น ผมเองก็อดไม่ได้ ที่จะต้องทำตาม